สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับความยากลำบากในการรักษาตำแหน่งผู้นำอุตสาหกรรมยานยนต์ “ดีทรอยท์ ออฟ เอเชีย” หลังจากอินโดนีเซียเติบโตอย่างรวดเร็ว
อินโดนีเซีย เดินหน้านโยบายผลักดันการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มที่ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกที่มุ่งสู่พลังงานใหม่ ทำให้หลายฝ่ายคาดการณ์กันว่าแดนอิเหนาจะกลายเป็นศูนย์กลางการผลิตรถอีวีในภูมิภาคนี้ ตามการวิเคราะห์ของสำนักข่าว Nikkei Asia
ประธานาธิบดีโจโค วิโดโด ผู้นำอินโดนีเซียใช้เวทีการประชุมสุดยอดผู้นำจี7 ที่เมืองฮิโรชิม่าในการล็อบบี้บรรดาผู้นำให้มาลงทุนในประเทศ ในทางกลับกัน ไทยกำลังอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลทำให้เกิดช่วงสุญญากาศขึ้น
อัตราการผลิตรถยนต์ของไทยลดลงอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ปี 2013 ซึ่งมีจำนวนอยู่ที่ 2.45 ล้านคัน เหลือ 1.88 ล้านคันในปี 2022 ลดลง 23%
ขณะเดียวกัน อินโดนีเซียมียอดการผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้น 30% ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ขึ้นไปแตะที่ 1.47 ล้านคันในปี 2022 ส่วนในปีนี้อาจขยับขึ้นไปแตะระดับ 1.6 ล้านคัน
หากดูเฉพาะตัวเลขการผลิตรถยนต์นั่ง อินโดนีเซียแซงหน้าเมืองไทยไปแล้วตั้งแต่ปี 2014 และมียอดการผลิตมากกว่าบ้านเราเท่าตัว
ผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า
สำนักข่าว Nikkei Asia ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่รถยนต์ไฟฟ้าของอุตสาหกรรมยานยนต์โลกเอื้อต่อการเติบโตของอินโดนีเซีย ซึ่งอุดมทรัพยากรสำคัญโดยเฉพาะแร่หายากอย่างนิกเกิลที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของการผลิตแบตเตอรี่
รัฐบาลจาการ์ตายังประกาศเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่า Volkswagen กำลังพิจารณาลงทุนขุดเหมืองแร่ในประเทศ ขณะที่ Ford ก็กำลังวางแผนการลงทุนตั้งโรงงานผลิตเช่นกัน
นโยบายของภาครัฐก็มีส่วนสำคัญ โดยมีการลดภาษีรถยนต์ไฟฟ้าจาก 11% เหลือ 1% เริ่มมีผลตั้งแต่เดือนเมษายน พร้อมกับมุ่งสนับสนุนการผลิตในประเทศด้วยการกำหนดสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศให้อยู่ที่อย่างน้อย 40%
Hyundai Motor จากเกาหลีใต้ และ SAIC-GM-Wuling เริ่มผลิตรถอีวีในอินโดนีเซียในปี 2022 ขณะที่ Tesla ก็เป็นข่าวว่ากำลังใกล้บรรทุกข้อตกลงตั้งโรงงานผลิตเต็มที
ย้อนกลับมาดูในประเทศไทย สำนักข่าว Nikkei Asia ชี้ว่าอุตสาหกรรมยานยนต์เริ่มต้นในช่วงทศวรรษ 1960 โดยรองรับค่ายรถยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นเป็นหลัก ก่อนเริ่มส่งออกไปยังต่างประเทศ ทั้งอาเซียน ออสเตรเลีย ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
อย่างไรก็ตาม ในยุครถยนต์ไฟฟ้า อุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยที่มุ่งเน้นรถเครื่องยนต์สันดาปกลายเป็นความล้าสมัยไปเสียแล้ว
แหล่งข่าวในรัฐบาลไทยชี้ว่า ค่ายรถญี่ปุ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยกลับดำเนินการเชื่องช้าเกินไปในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ในภาพรวม
อย่างไรก็ตาม นโยบายของภาครัฐก็พยายามผลักดันทั้งการผลิตและการใช้รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเต็มตัว สามารถดึงดูดยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง BYD ให้มาตั้งโรงงานในประเทศ ขณะที่ Changan ก็ประกาศว่าจะลงทุนเกือบ 1 หมื่นล้านบาทเพื่อตั้งโรงงานเช่นกัน
สำนักข่าว Nikkei Asia สรุปไว้ว่าประเทศไทยกำลังพยายามอย่างหนักเพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำในภูมิภาคนี้ โดยไม่มุ่งเน้นแค่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงรถพลังงานทางเลือกประเภทอื่น ๆ ด้วย การแข่งขันกับอินโดนีเซียจะดุเดือดมากขึ้นอย่างแน่นอน