หากถามคอรถยนต์ทั่วไปว่าค่ายรถญี่ปุ่นรายใดสร้างนวัตกรรมมากที่สุด หลายคนมักตอบหลากหลายยี่ห้อ ยกเว้นแต่ Isuzu (อีซูซุ) ที่น้อยคนนักจะนึกถึง
แท้จริงแล้ว Isuzu เป็นต้นกำเนิดของอุตสาหกรรมยานยนต์ญี่ปุ่น สามารถย้อนรอบประวัติศาสตร์กลับไปจนถึงปี 1916 เลยทีเดียว เมื่อถูกก่อตั้งเป็นบริษัทร่วมทุนโดย Tokyo Ishikawajima Shipbuilding and Engineering Co., Ltd. ผู้ผลิตเรือรายใหญ่ และ Tokyo Gas and Electric Industrial Co. บริษัทวิศวกรรมยักษ์ใหญ่
นั่นหมายความว่า Isuzu เป็นบริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นที่เก่าแก่ที่สุดในโลก และยังเคยเป็นบริษัทรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของแดนอาทิตย์อุทัย ก่อนที่รถยนต์นั่งจะได้รับความนิยมมากขึ้นจนกระทั่ง Toyota และ Nissan แซงหน้าไป
Isuzu ยังเป็นบริษัทรถยนต์รายเดียวในโลกที่สามารถเคลมได้ว่ามีรถใช้งานใน 7 ทวีปทั่วโลก ซึ่งรวมถึงทวีปแอนตาร์กติกาที่มีรถโปรดักชั่นใช้งานโดยไม่ต้องโมดิฟายด์เพิ่มเติม และยังมีการใช้เครื่องยนต์ดีเซลในการผลิตกระแสไฟฟ้า บ่งบอกว่าผลิตภัณฑ์ของพวกเขามีความอึดทนถึกแค่ไหน
แล้วทำไมถึงไม่ค่อยมีคนพูดถึง?
จริงแล้ว ๆ Isuzu ถูกยกย่องอย่างมากในแง่ของการเป็นผู้สร้างนวัตกรรม แต่นั่นเป็นเมื่อ 50 ปีที่แล้ว และยังจำกัดอยู่เฉพาะในแถบตะวันออกไกล ขณะที่ฝั่งตะวันตกถูกครอบครองตลาดโดยบริษัทรถยนต์สัญชาติอเมริกันและยุโรป
ยุค 1960 มีการเปิดตัว Isuzu Bellet GT-R ซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญของ Nissan Skyline GT-R ณ เวลานั้นเลยทีเดียว โดยมีจำนวนการผลิตเพียง 1,400 คันเท่านั้น กลายเป็นหนึ่งในยนตรกรรมญี่ปุ่นที่หายากยิ่งในปัจจุบัน
นอกจากนี้ยังมี Isuzu Bellet MX1600 เผยโฉมครั้งแรกที่งานโตเกียว มอเตอร์โชว์ 1969 รถต้นแบบที่ไม่เคยถูกต่อยอดเป็นรุ่นโปดักชั่นเนื่องจากมีรูปทรงก้าวล้ำนำหน้าเกินไป ตลาดรถแดนปลาดิบเมื่อหลายทศวรรษก่อนยังไม่พร้อมสำหรับรถยนต์ที่มีดีไซน์ฉีกกรอบขนาดนั้น
หลังจากนั้นมีการผลิต Isuzu 177 Coupe ที่ว่ากันว่าเป็นรถคูเป้ที่งดงามที่สุดรุ่นหนึ่ง ออกแบบโดยสำนัก Giugiaro จากอิตาลี
ก่อนที่เศรษฐกิจฟองสบู่ของญี่ปุ่นจะแตกโพละในทศวรรษ 1980 Isuzu สร้างเครื่องยนต์วี12 ขนาด 3.5 ลิตรเพื่อ “พิทช์” หรือนำเสนอให้ทีมแข่ง Lotus ไว้ใช้งาน แต่สุดท้ายพวกเขาพ่ายแพ้ให้แก่ Honda ไปยังฉิวเฉียด
ใครจะรู้ว่าหน้าประวัติศาสตร์จะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนหากไอร์ตัน เซนน่า ได้ขับขี่เครื่องยนต์ของ Isuzu แทน Honda
Isuzu VehiCross ยังเป็นหนึ่งในรถยนต์ที่ดูเข้ากับยุคสมัยในปัจจุบัน ออกแบบโดยชิโระ นากามูระ ที่ต่อมาจะเป็นผู้รังสรรค์ Nissan Cube มิพักต้องพูดถึงรถสปอร์ตสุดงามอย่าง Isuzu Piazza ที่เชื่อว่ายังดึงดูดสายตาทุกคู่บนท้องถนนทุกวันนี้
เลิกผลิตรถยนต์นั่ง หันไปรถเพื่อการพาณิชย์เต็มตัว
Isuzu ถูกยกย่องว่าเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรม แต่ขาดความสามารถด้านการตลาด จึงไม่สามารถแข่งขันในตลาดรถยนต์นั่งได้เลย
หลังจากฟองสบู่แตก Isuzu หยุดการผลิตรถยนต์นั่งในปี 1993 แล้วหันไปทำตลาดด้วยการ rebadge หรือร่วมสร้างรถยนต์กับค่ายรถรายอื่น กระทั่งเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง พวกเขาก็หันไปให้ความสำคัญกับรถกระบะ รถบรรทุก และการพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลอย่างเต็มตัว
ความเชี่ยวชาญในการสร้างเครื่องยนต์ดีเซลของ Isuzu มีสูงมากจนกระทั่งคู่แข่งอย่าง Toyota ยังต้องมาขอความช่วยเหลือ
ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ภูมิภาคยุโรปยกระดับความเข้มงวดในการจำกัดปริมาณไอเสีย วิศวกรของ Toyota พบกับทางตันในการลดมลพิษลง พวกเขาต้องหันไปขอคำปรึกษาจาก Isuzu นำมาซึ่งการผนึกกำลังเป็นหุ้นส่วนในปี 2006 เพื่อผลิตเครื่องยนต์ดีเซลขนาดเล็กสำหรับใช้ในรถยนต์นั่งในยุโรป
การเป็นหุ้นส่วนดังกล่าวต่อยอดมาเป็นบริษัทร่วมทุน Toyota-Hino-Isuzu ที่มีชื่อว่า Commercial Japan Partnership Technologies Corporation มุ่งเน้นที่การสร้างรถเพื่อการพาณิชย์เจนเนอเรชั่นใหม่
Isuzu ยังจับมือเป็นพันธมิตรกับ General Motors เพื่อร่วมกันพัฒนาเครื่องยนต์ดีเซลสำหรับใช้ในรถกระบะ จนทำให้ Chevrolet Silverado และ GMC Sierra มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 5% ในยุคปลาย 1990 มาเป็น 40% ในปัจจุบัน
หลายคนอาจไม่รู้ว่า Isuzu D-Max เป็นรถกระบะรุ่นเดียวในตลาดที่พัฒนาขึ้นจากความร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญในสถาบัน Japan Railway Technical Research Institute ซึ่งเป็นคนกลุ่มเดียวกับที่สร้างรถไฟหัวกระสุนชินกันเซ็น ประโยชน์ไม่ได้อยู่ที่การทำความเร็วสูง แต่คือเรื่องแอโรไดนามิกที่ทำให้รถกระบะของพวกเขาประหยัดน้ำมันอย่างยิ่ง
การตั้งศูนย์พฒนารถกระบะในจังหวัดสมุทรปราการ ยังทำให้ Isuzu เข้าใจในความต้องการของลูกค้าชาวไทยที่เป็นตลาดใหญ่ของพวกเขา และนั่นคงเป็นสาเหตุที่ทำให้ Mazda เลือกมาเป็นพันธมิตรกับพวกเขาแทน Ford