Tesla (เทสล่า) สามารถสร้างผลกำไรต่อคันได้เหนือกว่า Toyota (โตโยต้า) ถึง 8 เท่าตัวระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนที่ผ่านมา
สำนักข่าว Nikkei รายงานว่า ถึงแม้ Tesla จะมียอดขายเพียง 1 ใน 7 ของ Toyota แต่ค่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาสามารถทำกำไรสุทธิรายไตรมาสแซงหน้าค่ายรถยักษ์ใหญ่ญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขายหุ้นสู่สาธารณชนครั้งแรกในปี 2010
Tesla รายงานผลกำไรสุทธิในไตรมาสที่ผ่านมาอยู่ที่ 3.29 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ Toyota ทำได้ที่ 4.34 แสนล้านเยน เมื่อคำนวณเป็นเงินสกุลดอลลาร์จะอยู่ที่ 3.15 พันล้านเหรียญสหรัฐ ตามอัตราแลกเปลี่ยน 138 เยนต่อ 1 เหรียญสหรัฐ
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
วิเคราะห์ผลกำไร
รายงานข่าวระบุว่าผลกำไรที่ลดลงของ Toyota มาจากหลายปัจจัย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะพวกเขาตัดสินใจแบกรับภาระต้นทุนและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้นแทนซัพพลายเออร์ ขณะเดียวกัน ยังมีค่าใช้จ่ายในการปิดสายการผลิตในรัสเซียอีก 9.6 หมื่นล้านเยน
โคตะ ยูซาวะ นักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs Japan กล่าวว่า ผลกำไรที่ลดลงในเดือนกรกฎาคมถึงกันยายนของ Toyota ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงในแง่ของผลประกอบการ เพราะหากดูผลกำไรจากการปฏิบัติงานจะพบว่าค่ายรถจากแดนอาทิตย์อุทัยยังนำหน้า Tesla
กระนั้น นักวิเคราะห์เผยว่าต้องยกย่องความสำเร็จของ Tesla ที่มีปัจจัยสำคัญอยู่ที่ความสามารถในการสร้างผลกำไรต่อการผลิตรถ 1 คัน ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าจากแคลิฟอร์เนียอยู่ที่ 344,000 คันในไตรมาสที่แล้ว แต่สามารถทำกำไรได้สูงถึง 9,570 เหรียญสหรัฐต่อคัน ขณะที่ Toyota ทำยอดขาย 2.62 ล้านคันในไตรมาสเดียวกัน แต่มีกำไรต่อคันเพียง 1,200 เหรียญสหรัฐ
ผลกำไรต่อคันของ Tesla เพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายนปีที่แล้ว ซึ่งทำให้นักลงทุนให้ความสนใจต่อบริษัทจนมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด
สาเหตุที่ทำให้ Tesla สามารถทำกำไรได้สูงเช่นนั้น คือการมุ่งเน้นที่รถยนต์ไฟฟ้าอย่างเดียว โดย Model 3 และ Model Y ทำยอดขายได้สัดส่วนเกินกว่า 90% ของยอดขายรถทั้งหมด
ศักยภาพด้านแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ยังทำให้ Tesla ไม่ลังเลที่จะผลักภาระด้านค่าใช้จ่ายไปให้ผู้บริโภค โดยมีการปรับขึ้นราคาเมื่อต้นทุนปรับสูงขึ้น พร้อมกับนำเสนอซอฟต์แวร์เป็นอ็อปชั่นเสริมที่มีราคาแพงหูฉี่
ไม่เพียงเท่านั้น Tesla ยังใช้เครื่องจักรขนาดใหญ่ในการปั๊มขึ้นรูปตัวถังหรือที่เรียกว่า Giga Press ช่วยลดกระบวนการผลิตและเพิ่มความรวดเร็วถึงแม้ผู้เชี่ยวชาญจะชี้ว่าทำให้คุณภาพลดลงก็ตาม ขณะเดียวกัน Tesla ยังจำหน่ายรถยนต์โดยตรงซึ่งเป็นวิธีการที่ทำให้มีผลกำไรสูงกว่าเมื่อเทียบกับการจำหน่ายผ่านดีลเลอร์
ในทางกลับกัน Toyota ให้ความสำคัญกับขุมพลังขับเคลื่อนที่หลากหลาย ตั้งแต่เครื่องยนต์เบนซินทั่วไปจนถึงไฮบริด ไฟฟ้า และฟิวเซล อีกทั้งยังทำตลาดที่ครอบคลุมเกือบทุกเซกเมนท์และทุกย่านราคา
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });