2565 จะเป็นปีที่อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยสนุกกว่าเดิม และนี่คือ 5 สิ่งที่เรารอคอยในปีนี้!!!

ผ่านปี 2564 มาได้กันอย่างสนุกสนานพอสมควรสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ที่แม้จะประสบปัญหามากมาย แต่ก็ถือเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ การลองผิดลองถูก และการหาช่องทางใหม่ ๆ สำหรับผู้ประกอบการที่แข่งขันกันอย่างเข้มข้นกันอย่างต่อเนื่องทั้งปี

แน่นอนว่าเป็นปีที่มีผู้ประสบความสำเร็จ ทั้งด้วยตัวสินค้า ด้วยกลยุทธ์ที่โดดเด่น หรือแม้แต่ด้วยการแข่งขันด้านราคา ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่าในปีที่ผ่านมา น่าจะเป็นอีกปีที่มีการเปิดตัวสินค้าใหม่มากที่สุดปีหนึ่ง จากการอดกลั้นมาจากปีก่อนหน้านั้น และการเร่งเครื่องทำตลาดอย่างดุเดือด

คำถามก็คือ แล้วในปี 2565 ที่มาถึงนี้ ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์จะเป็นอย่างไร หลังจากที่ AutoFun Thailand เคยสรุปว่าปีก่อนคือปีแห่งการเปลี่ยนแปลง และเราก็มั่นใจว่าการเปลี่ยนแปลงจะยังคงมีอยู่ และได้รับอิทธิพลจากการเปลี่ยนแปลงในระดับโลกมาถึงประเทศไทยมากขึ้น

และนี่คือ 5 สิ่งที่เราคาดว่าจะได้เห็นกันในปี 2565 นี้ในประเทศไทย...

อ่านเพิ่มเติม: สรุป 5 เหตุการณ์สำคัญปี 2564 ปีแห่งเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย

หนึ่ง ตลาดรถยนต์ต้องกลับมาเติบโตไม่น้อยกว่า 10%

การพลาดเป้าหมายการจำหน่ายในปีที่ผ่านมา จนทำให้แนวโน้มของตลาดจะไปไม่ถึง 8 แสนคัน มาพร้อมกับข้ออ้างเรื่องของโควิด-19 และปัญหาด้านการผลิตมากมาย ซึ่งแม้ปัญหาจะยังต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ แต่ก็คงใช้เป็นข้ออ้างไม่ได้เต็มปากเต็มคำ หากยังปล่อยให้ตลาดหดตัวกันอีก

แน่นอนว่าแม้จะมีปัจจัยที่น่าเป็นห่วงในเรื่องสายพันธุ์โอมิครอน รวมถึงปัญหาการขาดแคลนชิปเซต แต่ก็ดูเหมือนผู้ประกอบการส่วนใหญ่เริ่มที่จะมองเห็นแนวทางการปรับตัว และเชื่อว่าเป้าหมายการผลักดันตลาดให้เติบโต 10% หรือมีตลาดรวม 8.2-8.5 แสนคัน น่าจะเป็นเป้าหมายต้น ๆ

สอง การขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าราคาจับต้องได้

แม้การเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยจะมีเพิ่มมากขึ้นในปีที่ผ่านมา แต่หลัก ๆ แล้วก็ยังวนเวียนอยู่ในรถยนต์ระดับหรูหราค่าตัว 2 ล้านบาทขึ้นไป จะมีคู่แข่งที่อยู่ในตลาดระดับพอจับต้องได้ก็มีเพียงแบรนด์จากประเทศจีน ที่มีความน่าใช้งานบ้าง ไม่น่าใช้งานบ้างปะปนกันไป

ความต้องการของผู้บริโภคที่เริ่มถามถึงความเป็นไปได้ของการที่ค่ายรถขนาดใหญ่จะเดินหน้าทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบ้างก็เริ่มมีให้เห็น ประกอบกับแผนงานของรัฐบาลที่เริ่มพิจารณาเรื่องการลดภาษีนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้า แว่วมาว่ามีผู้ประกอบการหลายรายเริ่มศึกษาเรื่องนี้กันแล้วอย่างจริงจัง

สาม อาจจะเห็นการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ในไทย

ต่อเนื่องมาจากการนำเข้ารถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาทำตลาด สิ่งที่ค่ายรถจะต้องพิจารณาต่อเนื่องก็คือการลงทุนเพื่อเปิดสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ทั้งเพื่อใช้ประโยชน์ในการเป็นฐานการผลิตพวงมาลัยขวาเพื่อการส่งออก รวมถึงการหลีกเลี่ยงปัญหาหากรัฐบาลยกเลิกภาษี 0% ในอนาคต

ในปีที่ผ่านมา โครงการลงทุนขนาดใหญ่หลายโครงการเกิดขึ้นในประเทศไทย แต่ก็เป็นเพียงการปรับปรุงสายการผลิตให้พร้อมรับรถรุ่นใหม่ ๆ หรือการขยายไลน์ผลิตภัณฑ์เพียงเท่านั้น ค่ายรถอีกหลายรายต่างก็รอความชัดเจนของกฎหมายอยู่ว่าพวกเขาต้องลงทุนเพิ่มหรือไม่ และน่าจะตัดสินใจเร็ว ๆ นี้  

สี่ ค่ายรถแบรนด์ใหม่ที่จ่อคิวน่าจะถึงเวลาแล้ว

เอาจริง ๆ ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่เรียกว่าหัวกระไดไม่เคยแห้งสำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ จากที่หลาย ๆ คนรู้อยู่แล้วว่ามีการทดลองตลาดและนำสินค้ามาทดสอบหลายต่อหลายครั้งหลายยี่ห้อ แต่ก็ต้องชะลอแผนงานเหล่านั้นเอาไว้ก่อน ในยุคของโควิด-19 ที่เดาใจผู้บริโภคยากอยู่

อย่างไรก็ตาม การที่แบรนด์รถยนต์น้องใหม่บางรายสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างดีในตลาด ทั้งเรื่องของการแนะนำสินค้า นวัตกรรมใหม่ หรือแม้แต่การแข่งขันทางด้านราคาก็ตาม ทำให้มีค่ายรถที่ยังลังเลอยู่ 2-3 ค่าย ตัดสินใจแล้วว่าพวกเขาก็มีดี และพร้อมที่จะเปิดตลาดไทยในปีนี้เช่นกัน

ห้า รัฐบาลต้องทำอะไรกับรถยนต์ไฟฟ้าแล้วล่ะ

หนึ่งในโครงการที่โดนจับตามาอย่างยาวนาน และก็มีข่าวเรื่องของการสนับสนุนให้เกิดการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า ที่หลาย ๆ คนต่างก็บอกว่ารัฐบาลดูมีบทบาทน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะเรื่องการพัฒนาโครงสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่เหมาะสมสำหรับการรองรับการใช้งานอีวีรูปแบบต่าง ๆ 

จะเห็นได้ว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจด้านไฟฟ้าต่างออกมาเด้งรับลูกกันอย่างเต็มที่ รวมถึงภาคเอกชนต่าง ๆ ได้ออกมาดาหน้าพร้อมลงทุนกันยกใหญ่ งานนี้แว่วว่าภาครัฐเองก็เตรียมแผนใหญ่เอาไว้เหมือนกัน ด้วยการจับมือกับเอกชนผลักดันทั้งตัวสินค้าและสถานีชาร์จแบบเต็มรูปแบบ ที่น่าจะได้เห็นกันในปีนี้

AutuFun Thailand ประเมินภาพรวมตลาดปีนี้

หากถามผู้ประกอบการโดยทั่วไป แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องคาดหวังการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ขอให้มีตัวเลขที่หักหัวขึ้นจากเดิมได้บ้าง ไม่ต้องคำนวนตัวเลขกันแปะยอดไปรายเดือน น่าจะเป็นทิศทางที่ดีที่สุด ตัวเลขการเติบโต 10% ที่วางเอาไว้ก็ถือว่าอยู่ในวิสัยที่ทำได้สบาย ๆ 

สิ่งที่น่าสนใจกว่าก็คือ การแข่งขันในแต่ละเซกเมนต์ที่เริ่มเปลี่ยนแปลงไปและมีความชัดเจนของความต้องการของผู้บริโภคมากขึ้น ค่ายรถแต่ละรายจะตอบสนองกันในทิศทางไหน และความยากลำบากในการทำตลาดออฟไลน์ ต้องบอกว่าค่ายรถเกือบทุกรายก็พร้อมแล้วที่จะลุยกันบนโลกออนไลน์มากขึ้น

2 ปีที่ผ่านมา จึงถือเป็นช่วงเวลาของการสั่งสมประสบการณ์ ถ้าขนาดค่ายรถที่ทุกคนมองว่าเก่าแก่ ล้าสมัย ยังออกมาประกาศว่าอยู่รอดได้เพราะปรับมาทำตลาดออนไลน์ ไม่ต้องคิดเลยว่าปีหน้าทุกคนจะแข่งขันกันขนาดไหน น่าจะเป็นปีที่ผู้บริโภครอจับจ่ายซื้อรถในช่วงเวลาที่เหมาะสมได้อีกปี

คนขายอยากขาย คนซื้อมีทางเลือก ขอให้เป็นอีกปีที่สนุกสนานนะครับ...