ทำไม Aston Martin ต้องพึ่งพา Lucid สตาร์ทอัพอเมริกันเพื่อสร้างรถอีวี

Aston Martin (แอสติน มาร์ติน) ประกาศหันไปพึ่งพา Lucid บริษัทสตาร์ทอัพรถยนต์ไฟฟ้าจากสหรัฐอเมริกาในการพัฒนารถอีวีเจนเนอเรชั่นต่อไป

“บริษัทฯ จะใช้เทคโนโลยีระบบขับเคลื่อนและแบตเตอรี่ทั้งในปัจจุบันและอนาคตของ Lucid เพื่อสร้างรถยนต์ไฟฟ้าบนแพลตฟอร์มใหม่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของข้อตกลงเชิงกลยุทธ์และความสัมพันธ์ทางธุรกิจระยะยาว” Aston Martin ระบุ

แพลตฟอร์มใหม่ล่าสุดของ Lucid จะถูกใช้กับรถยนต์ไฟฟ้าทุกโมเดลในอนาคตของ Aston Martin ไล่เรียงตั้งแต่รถสปอร์ตไปจนถึงรถเอสยูวี

อดใจรออีกราว 2 ปี

รายงานข่าวระบุว่ารถยนต์ไฟฟ้าเจนเนอเรชั่นต่อไปโมเดลแรกของ Aston Martin จะออกจำหน่ายภายในปี 2025 แต่ยังไม่มีการยืนยันว่าจะเป็นรถประเภทใด

อย่างไรก็ตาม ก่อนจะถึงปี 2025 มีรายงานว่า Aston Martin จะยังคงใช้โครงสร้างที่มีอยู่เดิมในการพัฒนารถยนต์รุ่นใหม่ ซึ่งรวมถึงรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่จะออกจำหน่ายภายในปี 2024 และไฮเปอร์คาร์ Valhalla ที่จะทำตลาดในปี 2026

Aston Martin วางแผนที่จะจัดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าทุกรุ่นภายในปี 2030

ข่าวระบุว่าภายใต้ข้อตกลงกับ Lucid ทาง Aston Martin จะถ่ายโอนหุ้นจำนวน 28 ล้านหุ้นให้แก่สตาร์ทอัพอเมริกัน ซึ่งเท่ากับสัดส่วน 3.7% ของหุ้นทั้งหมด

Aston Martin ยังตกลงที่จะจ่ายค่าลงทุนให้แก่ Lucid มูลค่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะแบ่งการจ่ายออกเป็นหลายช่วงเวลา ซึ่งจะถูกแบ่งไปในการพัฒนาระบบขับเคลื่อน แบตเตอรี่ ระบบอิเลคโทรนิค และการบริการทางเทคนิคอื่น ๆ

Aston Martin และ Lucid ออกแถลงการณ์ร่วมกันว่าความร่วมมือกันครั้งนี้มุ่งสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขัน แต่เป็นที่ทราบกันว่าทั้งสองค่ายมีบริษัทนักลงทุนรายเดียวกันถือหุ้นอยู่ นั่นคือ Public Investment Fund (PIF) จากซาอุดิอาระเบีย

Lucid เพิ่งได้รับเงินทุนเพิ่มเติมจาก PIF มูลค่าสูงถึง 3 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ยังเผชิญกับอุปสรรคในการยกระดับกำลังการผลิต Lucid Air รถซีดานไฟฟ้า

ปัจจุบัน Aston Martin เป็นพันธมิตรกับ Mercedes-Benz ในด้านเทคโนโลยีระบบขับเคลื่อน ซึ่งค่ายรถจากเมืองผู้ดียืนยันว่าจะยังคงใช้เครื่องยนต์สันดาปจากค่ายรถเยอรมันต่อไป