ยุโรปจ่อเปลี่ยนมาตรฐานไอเสียใหม่ รถปลั๊กอินไฮบริดหวิดเลิกขาย เพื่อบังคับใช้ไฟฟ้าเต็มตัว

สหภาพยุโรปกำลังจะกำหนดมาตรฐานใหม่ของรถที่จะต้องลดการปล่อย CO2 มากขึ้นจากเดิม ซึ่งจะส่งผลโดยตรงกับรถปลั๊กอินไฮบริด (PHEV) และเป็นการเร่งการใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้เร็วขึ้นไปอีก

ทำให้ในปี 2027 รถยนต์ PHEV จะมีการปล่อยไอเสีย CO2 ในหน่วย g/km มากกว่ามาตรฐานถึง 2 เท่า (หรือมากกว่า) ในมาตรฐานใหม่ภายใต้กฎ EU6e

• เพิ่มค่า UF
• ค่ายรถต้องเพิ่มไลน์อัพ EV
• การคำนวณใหม่ บวกกับปรับเกณฑ์ ค่ายรถต้องทำงานหนักขึ้น
• เตรียมสู่รถไร้มลพิษภายใน 2030
• องค์กรสีเขียวต่อต้าน PHEV เพราะไม่ได้ปล่อยมลพิษน้อยอย่างคำบอก
• หาข้อพิสูจน์สำหรับ PHEV

เพิ่มค่า UF

นั่นเป็นเพราะมาตรฐานดังกล่าวจะเพิ่มตัวเลขของ utility factor (UF) ขึ้นอย่างมาก ซึ่งตัวเลขนี้คืออัตราส่วนระหว่างการปล่อย CO2 ของการขับขี่ด้วยเครื่องยนต์สันดาปล้วนกับการขับขี่ในโหมด EV 

ทาง Autocar ระบุว่าค่า UF จะมีมาตรฐานอยู่ที่ 800 ในปี 2025 แต่จะเพิ่มขึ้นเป็น 4,000 หรือมากกว่าในปี 2027

ซึ่งมาตรฐานใหม่จะส่งผลให้ค่าไอเสียของ PHEV ทุกวันนี้ที่ 50 g/km อาจพุ่งสูงขึ้นเป็น 125 g/km ในปี 2027 และจะส่งผลกระทบไปยังต้นทุนของรถเพราะอัตราภาษีจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากค่าไอเสียที่เพิ่มขึ้น

และตัวเลข CO2 ที่สูงขึ้นเหล่านี้จะทำให้ค่าการปล่อยไอเสียจากผู้ผลิตรถยนต์จะต้องถูกคำนวณใหม่ทั้งหมด เพราะค่ายรถจะใช้รถ PHEV ช่วยลดการปล่อย CO2 เฉลี่ย เพื่อให้อยู่รอดในมาตรฐานไอเสียที่เข้มงวดขึ้นทุกวัน

ในหลายกรณี ยอดขายของ PHEV จะมีอย่างน้อย 50% จากทั้งหมด ในช่วงของการเปลี่ยนถ่ายมายังรถยนต์ไฟฟ้ามายังปี 2035

ค่ายรถต้องเพิ่มไลน์อัพ EV

มาตรการนี้จะทำให้ผู้ผลิตรถยนต์ต้องจริงจังกับการเปลี่ยนถ่ายให้มากขึ้น โดยการเพิ่มรถยนต์ไฟฟ้า 100% อย่างน้อย 2-3 คันต่อรถเครื่องยนต์สันดาปหนึ่งรุ่น และยังเป็นความท้าทายแก่อุตสาหกรรมยานยนต์ที่อยู่ในภาวะขาดแคลนชิปเซมิคอนดักเตอร์และเซลล์แบตเตอรี่ในตอนนี้

การเจรจานั้นค่อนข้างละเอียดอ่อนอย่างมากใน Brussels และในบอร์ดการประชุมผู้ผลิตรถยนต์นั้นยังขาดหน่วยงานการค้ายานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดสองแห่งคือ ACEA (ซึ่งเป็นตัวแทนของผู้ผลิตรถในยุโรปและใน Brussels) และ SMMT (ซึ่งเป็นตัวแทนผู้ผลิตรถในสหราชอาณาจักร)

การคำนวณใหม่ บวกกับปรับเกณฑ์ ค่ายรถต้องทำงานหนักขึ้น

การวัดผลแบบใหม่นี้จะส่งผลทั้งต่อผู้ซื้อรถไปจนถึงผู้ผลิตรถยนต์ ทำให้ค่าเฉลี่ยการปล่อย CO2 ของรถ PHEV อยู่ราว ๆ 130 g/km ซึ่งเกณฑ์ในมาตรการใหม่จะลดค่าเฉลี่ยให้อยู่ที่ 42 g/km.

การพัฒนาด้านวิศวกรรมที่มากขึ้นซึ่งต้องใช้เงินทุนมากขึ้นอาจทำให้รถ PHEV ปล่อย CO2 ได้น้อยลง เช่น การเพิ่มความจุแบตเตอรี่ที่ทำให้ในโหมด EV สามารถขับได้ไกลขึ้น และเครื่องยนต์สันดาปอาจจะเล็กลงเพื่อเพิ่มความประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิง

แต่มีการคาดการณ์ว่าแบตเตอรี่จะมีขนาดเพิ่มจนถึง 30-40 kWh ซึ่งใกล้เคียงกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% เข้าไปทุกที

การที่ EU กำลังสร้างสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยต่อ PHEV ผู้ผลิตรถยนต์คงจะต้องคิดแล้วคิดอีกสำหรับการใช้เงินจำนวนมากในการพัฒนารถรุ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะรถที่มีอายุโมเดลเลยกว่าปี 2030 ซึ่ง EU กำหนดให้รถต้องปล่อยไอเสียเป็นศูนย์

อ่านเพิ่มเติม : Mercedes-Benz ยุติการพัฒนารถ PHEV แล้ว BMW เห็นด้วยไหม?

เป็นการเตรียมสู่รถไร้มลพิษภายใน 2030

ด้วยเหตุนี้ การยอมรับในค่า UF แบบใหม่จึงเป็นข้อถกเถียงกันระหว่างองค์กรที่สนับสนุนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม, ผู้ผลิตรถยนต์ และทางสหภาพยุโรป โดยเฉพาะในเรื่องค่ามาตรฐานไอเสียใหม่ EU7 (Euro 7) ซึ่งจะกดค่าการปล่อย CO2 เฉลี่ยของค่ายรถลงให้เหลือ 42 g/km ภายในปี 2030

องค์กรสีเขียวต่อต้าน PHEV อย่างมาก

องค์กรที่สนับสนุนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม มีอิทธิพลอย่างมากในกฎหมายของ EU ในครั้งนี้ ซึ่งได้พูดถึงการต่อต้าน PHEV อยู่หลายครั้ง เช่น ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าล้วนในยุโรปน้อยลงกว่า 600,000 คันเพราะมีสาเหตุจากยอดขายของ PHEV

“การชะลอการใช้งานค่า UF แบบชีวิตจริงนั้นไม่น่าเชื่อถือนัก เนื่องจาก PHEV คือปัญหาในขณะนี้”

“และในปี 2025 เป็นเวลาที่เหมาะสม การเปลี่ยนค่า UF ไม่จำเป็นต้องใช้การเปลี่ยนแปลงทางวิศวกรรม การเปลี่ยนมาใช้ UF มีไว้เพื่อแก้การคำนวณที่ผิดพลาดในการพิจารณาการปล่อย CO2”

เพราะ PHEV ไม่ได้ปล่อยมลพิษน้อยอย่างคำบอก

ผู้ผลิตรถต่างประหลาดใจว่า EU ได้โจมตีรถ PHEV อย่างมาก โดยเหล่าผู้ผลิตคาดหวังว่าค่า UF จะประมาณครึ่งหนึ่งจากที่ได้เสนอไว้

แต่แนวทางของ EU เกิดจากประสบการณ์ในโลกความเป็นจริงที่รถ PHEV ส่วนใหญ่นั้นขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์สันดาปมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ตั้งแต่มาตรฐาน Euro 6 เปิดตัวในปี 2015 ซึ่งในตอนนั้นมีการคาดการณ์ว่า PHEV จะเริ่มขับขี่ด้วยแบตเตอรี่เต็มเสมอ

องค์กรที่สนับสนุนเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมได้จัดทำแคมเปญเพื่อให้ PHEV ถูกโจมตีด้วยคะแนน CO2 ที่สูงขึ้น เพราะมีข้อสงสัยว่าผู้ขับขี่ PHEV ทั้งหลายนั้นได้ประโยชน์จากอัตราภาษีที่ต่ำกว่ารถยนต์เครื่องสันดาปทั่วไป

อ่านเพิ่มเติม : กลุ่มสิ่งแวดล้อมแฉรถ PHEV ปล่อยมลพิษ – กินน้ำมันมากกว่าโฆษณาหลายเท่า

หาข้อพิสูจน์สำหรับ PHEV

ทาง EU ได้เปิดตัวและเสนอตัวดักจับข้อมูลเพื่อเก็บข้อมูลผู้ขับขี่ PHEV จากโลกความเป็นจริงในยุโรปเพื่อเป็นแนวทางสำหรับข้อบังคับใหม่นี้ โดยการวิเคราะห์เบื้องต้นแสดงข้อมูลว่าผู้ที่เป็นเจ้าของรถ PHEV เองจะชาร์จไฟบ่อยกว่ารถ PHEV ที่ใช้เพื่อการพาณิชย์

อ่านเพิ่มเติม : อังกฤษคุมเข้มกฎหมาย ค่ายรถต้องขายรถไฟฟ้าเพิ่ม เริ่ม 2024 แล้วตอนนี้ไทยเป็นอย่างไร?