ชาวไทยน่าจะทราบกันดีถึงความกินน้ำมันของรถยนต์ขนาดยักษ์ Hummer รุ่นเครื่องยนต์สันดาป ที่ถือว่าเป็นหนึ่งในรถที่กินน้ำมันและปล่อยมลพิษมากที่สุดในโลกก็ว่าได้หากไม่นับรถสปอร์ต
แต่การวิจัยใหม่พบว่า แม้จะเป็นรุ่นไฟฟ้าใหม่อย่าง GMC Hummer EV ก็ยังมีส่วนที่เหมือนกับรุ่นพี่อย่างไม่หนีห่างกัน
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
ปล่อยมลพิษมากกว่า Altis
โดยมีการวิจัยเปิดเผยถึงการปล่อยมลพิษขั้นต้น (upstream emission) หรือก็คือการปล่อยมลพิษที่เกิดจากการผลิตไฟฟ้าให้เป็นพลังงานของรถ EV ตัว Hummer นั้นผลิตแก๊ส CO2 (คาร์บอนไดออกไซด์) มากถึง 341 กรัมต่อ 1 ไมล์
มากกว่าคู่แข่ง Ford F-150 Lightning อยู่ 106 กรัม และ Rivian R1T ที่ 112 กรัม
อ่านเพิ่มเติม จับ Silverado EV, F-150 Lightning, Cybertruck, Rivian, Hummer มาลองเทียบสเปค
นั่นเอง ทำให้ Hummer EV มีการผลิตคาร์บอนไดออกไซด์ต่อไมล์มากกว่า Toyota Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) เวอร์ชั่นเครื่องยนต์สันดาป ที่มีตัวเลขที่ 269 กรัมต่อไมล์เท่านั้น
เกิดจากอะไร?
ซึ่งก็มีเหตุผลมาจากน้ำหนักตัวอันมหาศาลที่ 4,111 กิโลกรัม รวมถึงรูปทรงกล่อง ต้านลมและหลักแอโรไดนามิกส์ ทำให้ชุดส่งกำลังต้องทำงานหนักเพื่อผลักตัวรถไปด้านหน้า และฝ่าลมไป
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าตัวเลขการปล่อย CO2 เหล่านี้แตกต่างกันไปตามภูมิศาสตร์สำหรับ EV เนื่องจากประเภทของพลังงานที่ใช้ในการผลิตไฟฟ้าแตกต่างกันไป
และตัวเลข 341 กรัม/ไมล์นั้นเป็นค่าเฉลี่ยทั่วโลก เมื่อเปรียบเทียบแล้วในยุโรปซึ่งมีการนำแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนมาใช้มากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ตัวเลขจะอยู่ที่ 166 กรัมต่อไมล์เท่านั้น แม้แต่ในสหรัฐฯมีเพียง 276 กรัม
ไม่เพียงเท่านั้น แต่ Hummer EV ก็ยังพอเป็นมิตรต่อสภาพอากาศมากกว่ารุ่น ICE รุ่นอื่น ๆ เช่น ทำตัวเลขได้ดีกว่า Ford F-150 อยู่ น้อยกว่า 103 กรัมต่อไมล์ จึงไม่ได้มีข้อเสียไปทั้งหมด
ก็เป็นไปได้ว่าวิธีแก้ที่ดีคือ การคพยายามทำการลดน้ำหนักตัวรถและแพคแบตเตอรี่ลง รวมถึงการออกแบบให้ตัวรถเป็นไปตามหลักแอโรไดนามิกส์ และใช้แหล่งพลังงานสะอาดด้วย
ด้วยการสร้าง EV ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยลงเพื่อให้ได้สมรรถนะเท่าเดิม ซึ่งจะสร้างการปล่อยไอเสียที่น้อยลง
นอกจากนี้ยังไม่จำเป็นต้องใช้แบตเตอรี่ขนาดใหญ่ ซึ่งจะช่วยลดปริมาณมลพิษที่เกิดขึ้นในการขุดโลหะล้ำค่าที่ใช้ในการก่อสร้าง
รวมกับการนำแหล่งพลังงานที่ยั่งยืนและ/หรือพลังงานหมุนเวียนมาใช้ในโรงไฟฟ้า ก็จะช่วยได้มากขึ้น
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });