งานมอเตอร์โชว์ประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นกลับมาจัดแสดงครั้งแรกในรอบ 4 ปี โดยมีการเปลี่ยนชื่อและแนวคิดการจัดงานเพื่อให้เข้ากับยุคของรถพลังงานไฟฟ้า
สำนักข่าว Reuters รายงานบทวิเคราะห์ว่างาน 2023 Japan Mobility Show ซึ่งเปลี่ยนชื่อจาก Tokyo Motor Show ในปีนี้นั้นจัดขึ้นท่ามกลางช่วงเวลาสำคัญอย่างยิ่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ โดย Toyota ยักษ์ใหญ่อันดับหนึ่งของญี่ปุ่นและของโลก เพิ่งประกาศเดินหน้าพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเต็มสูบ
การประกาศนโยบายของ Toyota ทำให้นักวิเคราะห์เงียบเสียงลงไปได้บ้างหลังจากมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่าดำเนินการเกี่ยวกับรถยนต์ไฟฟ้าเชื่องช้าเกินไป กระนั้นรายงานของ Reuters ระบุว่าค่ายรถจากแดนปลาดิบรายอื่น ๆ ยังคงตกอยู่ในเงามืดและไม่มีความชัดเจน อย่าง Mazda, Mitsubishi Motors และ Subaru ที่ต้องเผชิญกับความท้าทายในการนำเสนอรถอีวี
ขณะเดียวกัน ค่ายรถชั้นนำจากจีนอย่าง BYD เป็นค่ายรถรายเดียวจากแดนมังกรที่หาญกล้ามาจัดแสดงรถยนต์ในงาน Japan Mobility Show ซึ่งพวกเขาเป็น 1 ใน 3 แบรนด์รถต่างชาติ ร่วมกับ Mercedes-Benz และ BMW ที่ร่วมงานนี้
สิ่งสำคัญก็คือ BYD จะไม่เน้นจัดแสดงรถต้นแบบเหมือนกับค่ายรถญี่ปุ่น พวกเขาจะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าโปรดักชั่นที่ผลิตออกขายจริงแล้วหรือกำลังจะผลิตวางขายเร็ว ๆ นี้แทน บ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นของค่ายรถจากจีนที่ต้องการรุกตลาดทั่วโลกให้เป็นผลสำเร็จ
ขณะที่ Toyota จะจัดแสดงรถยนต์ต้นแบบหลายรุ่น มีทั้งรถเอสยูวี รถกระบะ และรถสปอร์ต พร้อมกับยังยืนยันว่าจะสนับสนุนแนวทางการพัฒนารถพลังงานทางเลือกหลากหลายรูปแบบเพื่อมุ่งสู่การลดปริมาณมลพิษ
ทางด้าน Nissan จะนำเสนอรถยนต์ไฟฟ้าต้นแบบหลายรุ่น รวมถึงรถอีวีที่วางขายไปแล้ว อย่าง Ariya, Leaf และ Sakura
ตลาดกำลังหดตัว
เดิมที งาน Tokyo Motor Show จัดขึ้นทุก 2 ปี ก่อนที่จะหยุดไปเมื่อการการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ เมื่อเปลี่ยนแนวคิดการจัดงานมาโฟกัสที่ "ระบบขับเคลื่อน" จึงมีการเปลี่ยนชื่อเป็น Japan Mobility Show มุ่งเน้นนำเสนอเทคโนโลยีขับเคลื่อนมากกว่ารถยนต์อย่างเดียว โดยมีทั้งรถขับขี่อัตโนมัติ รถมอเตอร์ไซค์ รถบรรทุก และ “รถบินได้” โชว์ตัวภายในงาน
สำนักข่าว Reuters ระบุว่าถึงแม้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในแดนอาทิตย์อุทัยจะพยายามกระตุ้นตลาดรถยนต์ให้มีความคึกคัก แต่ด้วยสภาพประชากรที่มีผู้สูงอายุจำนวนมากขึ้นและคนอายุน้อยมีความสนใจในการซื้อรถลดลง ทำให้เกิดแรงกดดันต่อยอดขาย
ประมาณเกือบ 1 ใน 3 ของประชากรชาวญี่ปุ่นที่มีทั้งหมด 124 ล้านคนเป็นผู้มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ซึ่งถือว่าเข้าข่ายการเป็นสังคมผู้สูงอายุ
ยอดขายรถยนต์นั่งในปีที่แล้วลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่มีการบันทึกสถิติมาโดยสมาคมอุตสาหกรรมยานยนต์ของญี่ปุ่นครั้งแรกในปี 1993 โดยตัวเลขยอดขายรถยนต์ลดต่ำลงน้อยกว่า 4 ล้านคันเป็นปีที่ 3 ติดต่อกันแล้ว
ในทางกลับกัน ยอดขายรถยน์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพิ่มขึ้น 24% ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
นั่นทำให้ตลาดอาเซียน รวมถึงเมืองไทยยังคงเป็นขุมทองสำหรับค่ายรถยนต์ต่าง ๆ แต่ดูเหมือนค่ายรถจากญี่ปุ่นเริ่มจะเพลี่ยงพล้ำให้แก่ค่ายรถจีนที่ส่งทัพรถยนต์ไฟฟ้าราคาเอื้อมถึงได้พัดถล่มครองใจลูกค้าจนกลายเป็นผู้นำตลาดรถพลังงานทางเลือกในอาเซียน
หากสถานการณ์ยังเป็นแบบนี้อยู่ต่อไป เราก็อาจได้ตระหนักถึงเสียงดังครืนเมื่อยักษ์ใหญ่ถูกโค่นล้มลง