Review Tank 300 ลองขับ แทงค์ 300

• ออนโรดโหมดอีโค วิ่งได้นะ 10 โลลิตร
• ออพชั่นออฟโรดช่วยให้ขับได้ง่ายดาย
• ชอบก็จัด ถ้าไม่ติดเรื่องราคาที่หลายคนบ่นกัน

Tank 300 (แทงค์ 300) รถถังพลังไฮบริดสายลุยรุ่นใหม่ล่าสุดจากค่าย GWM (เกรทวอลล์มอเตอร์) ที่เข้ามาเปิดตัวในประเทศไทย ด้วยสนนราคาค่าตัวที่อาจจะเกินความคาดหมายของผู้บริโภคไปสักเล็กน้อย ทำให้มีคำถามมากมายและทางบริษัทก็ได้ออกมาอธิบายถึงที่มาที่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว อันนี้ก็ต้องแล้วแต่ผู้บริโภคว่ารับได้หรือไม่ และจะยังพิจารณารถคันนี้ไว้ใช้งานหรือเปล่า

อย่างไรก็ตาม AutoFun ได้รับเชิญไปทดลองขับรถคันนี้กันหลังเปิดตัวไม่นาน เพื่อที่จะพิสูจน์สมรรถนะของรถกันทั้งทางถนนและทางออฟโรดธรรมชาติ เพื่อให้ได้รับรู้ถึงความสามารถของรถในด้านต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าคันที่เอามาทำการทดสอบนั้นเป็นรุ่นท็อปออพชั่นแน่น ซึ่งเป็นรุ่นที่เราแนะนำให้ซื้อมากกว่ารุ่นเริ่มต้น ที่ได้แค่หน้าตาดีเหมือนรุ่นบน แต่ออพชั่นหายไปหลายจุด

การทดสอบในครั้งนี้ เราได้มีโอกาสในการขับขี่บนถนนหลวงจากกทม.ไปโคราช และเข้าไปลุยเส้นทางออฟโรดแบบธรรมชาติที่เขายายเที่ยง ซึ่งแม้จะไม่ใช่ทางออฟโรดที่ยากมากแต่ก็แสดงให้เห็นถึงนิสัยของรถออกมาหลายด้าน ใครที่สนใจรถที่เอาไปลุยได้แบบไม่ต้องปรับเปลี่ยนอะไร และขับได้ดีกว่ารถเอสยูวีธรรมดาทั่วไป โดยเฉพาะในทางสายลุย ขอคุยเลยว่าคุณจะชอบรถคันนี้

เป็นรถอีกคันที่ทำหน้าที่ได้ดีทั้งบนถนนและออฟโรด ถ้าไม่ติดเรื่องอัตราสิ้นเปลืองนะ...

ขับขี่บนถนน เสียงไม่ได้ดังน่าเกลียดนะ

เอาจริง ๆ เรื่องที่เรากังวลมากสำหรับรถคันนี้ก็คือการออกแบบที่เป็นทรงกล่องของรถ ที่ดูเหมือนว่าจะต้านลมกว่าปกติ และการเลือกใช้ยาง A/T ที่แน่นอนว่าจะเสียงดังกว่าแน่นอน ซึ่งก็เป็นไปอย่างที่คิด คือเสียงปะทะของลมด้านหน้านั้นมีมากกว่า แต่ก็เป็นที่ความเร็วกลางไปแล้วที่จะเริ่มรำคาญ ขณะที่เสียงยางก็ไม่ได้น่าเกลียดมาก ยกเว้นจะเจอถนนปูนก็จะดังจนน่ารำคาญมากหน่อย ส่วนหนึ่งเพราะตัวรถยกค่อนข้างสูง ทำให้เสียงจากพื้นมีพื้นที่ระบายออกไปเยอะกว่าจะถึงตัวรถด้วย ถ้าขับแบบในชีวิตประจำวันก็ถือว่าไม่ได้ดูน่ากลัวแบบที่คิดเอาไว้ตอนแรกสำหรับเรื่องเสียงทั้งจากด้านหน้าและใต้ท้องรถ

อ่านเพิ่มเติม: Tank 300 ชี้แจงสาเหตุ ทำไมราคาตั้งไว้ถึง 1.799 ล้านบาท

ทีมงานแนะนำโหมด Eco แลกสิ้นเปลือง 10 โลลิตร

ในการขับขี่บนท้องถนนนั้น ทีมงานแนะนำให้ใช้โหมด Eco ที่จะปรับการใช้งานระบบขับเคลื่อนไปไว้ที่ล้อหลังมากกว่า ซึ่งจะช่วยเรื่องของการประหยัดน้ำมันขึ้นนิดนึง ต้องขอบอกว่าการเซตอัพรถคันนี้ จะแตกต่างจาก Tank 500 (แทงค์ 500) ที่ขับไม่สนุกค่อนข้างมาก ในโหมดอีโคก็ถือว่ามีความทะมัดทะแมงที่ดี แลกกับอัตราสิ้นเปลืองแถว ๆ 10 โลลิตรได้ แต่หากต้องการความดุดัน โหมดสปอร์ตของรถก็พร้อมพารถพุ่งทะยานออกไปแบบแทบจะเปลี่ยนเป็นคนละคัน โดยทีมงานระบุเวลาของ 0-100 กิโลเมตรต่อชั่วโมงที่ 8 นาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พอแล้วสำหรับรถทรงแบบนี้

อ่านเพิ่มเติม: คู่มือซื้อรถ 2023 TANK 300 รุ่นย่อย Ultra กับ Pro ต่างกันตรงไหน

ออพชั่นดี หรูหราและใช้งานได้อย่างง่ายดายจริง ๆ

ในตอนแรกที่เห็นรถตอนพรีวิวก็แอบชอบออพชั่นในรถหลายอย่างอยู่แล้ว แต่พอได้มาลองขับจริง ๆ ก็ต้องบอกว่าประทับใจกับการวางตำแหน่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ในรถที่ใช้งานได้อย่างสะดวก หน้าจอขนาดใหญ่แสดงผลคมชัด และให้ข้อมูลรายละเอียดการขับขี่ที่ดีละเอียดยิบ โดยเฉพาะหน้าจอของโหมดออพโรด ตัวชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สายใหญ่โตและชาร์จเร็ว การเชื่อมต่อของแอนดรอยด์ ออโต้ ไร้สายทำได้อย่างไม่ติดขัด ถ้าจะให้หาจุดที่ไม่ชอบก็น่าจะเป็นตำแหน่งของที่วางแก้วน้ำที่อยู่ค่อนข้างลึก คือถ้าเป็นแก้วทรงที่ไม่ได้สูงมาก ก็จะจมลงไปในกล่องตรงกลางทั้งหมด ทำให้ต้องเอานิ้วคีบ ๆ ออกมาหากจะกินน้ำ

อ่านเพิ่มเติม: เทียบ Tank 300 กับ Ford Everest ในระดับราคา 1.7 ล้านบาท

ขับขี่ออฟโรดทำได้ง่ายดาย ออพชั่นที่ให้มาใช้ได้จริง

โหมดการขับขี่ของสายออฟโรดที่เปิดใช้งานเป็นระบบ 4L ได้เพียงแค่หมุนปุ่ม มีล็อกดริฟท์หน้าและหลังแบบไฟฟ้า พร้อมโหมดควบคุมความเร็วอัตโนมัติบนออฟโรด ทำให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมรถคันนี้ได้อย่างง่ายดายบนเส้นทางออฟโรด เพียงแค่เลือกใช้ระบบต่าง ๆ ให้เหมาะสมกับการขับขี่ในแต่ละช่วง พร้อมโหมดกล้องที่แสดงให้เห็นภาพเส้นทางแบบเสมือน ช่วยในการตัดสินใจขับขี่ได้ง่ายขึ้น รวมถึงระบบช่วยถอยหลังอัตโนมัติก็ให้มา และระบบที่ประทับใจที่สุดก็คือ Tank Turn ที่ช่วยได้มากในการกลับรถหรือเลี้ยวในทางแคบ ที่ระบบจะล็อกล้อหลังเพื่อช่วยลดรัศมีวงเลี้ยว ทำให้ไม่ต้องหักพวงมาลัยเดินหน้าถอยหลังหลายครั้ง

อ่านเพิ่มเติม: สิ่งที่คุณจะชอบใน Tank 300 และแน่นอนว่าก็มีสิ่งที่ต้องพิจารณาก่อนตัดสินใจ

ถ้ามองจากสมรรถนะออฟโรดก็ถือว่าไม่แย่ที่จะจ่ายราคานี้

จริง ๆ แล้ว Tank 300 นั้นถูกนำไปเปรียบเทียบกับรถหลายกลุ่มมาก ด้วยราคาที่ดีดมาสูงกว่าที่หลายคนประเมินไว้ แต่หากมองจากสมรรถนะในทางออฟโรด ซึ่งเป็นจุดขายหลักของรถ ที่แน่นอนว่าจะต้องทำได้ดีกว่ารถซี-เอสยูวีจากค่ายญี่ปุ่นแน่นอน และเผลอ ๆ ก็อาจจะดีกว่าพีพีวีที่ทำราคาในระดับใกล้เคียงกันอีก แต่ก็อาจจะเสียความนุ่มนวลบนท้องถนน ซึ่งอาจจะเป็นเส้นทางหลักในชีวิตประจำวันของผู้ใช้งานไปบ้าง ก็ต้องพิจารณากันให้ถี่ถ้วน หรือจะเลี่ยงไปเดินทางสายกลางกับรุ่น PRO ที่มาพร้อมยาง H/T แต่ออพชั่นด้านออฟโรดก็หายไปหลายอย่าง แต่ก็น่าจะได้ความสะดวกสบายในชีวิตประจำวันกลับมาทดแทนกันได้บ้าง

งานนี้แนะนำให้ไปลองขับกันดูก่อนตัดสินใจ ดีลเลอร์ไหนพาเข้าออฟโรดได้ก็แหล่มเลย...