รัฐบาลของประเทศใดก็ตามที่มีเป้าหมายลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ ต้องให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฮบริดมากกว่าหรืออย่างน้อยก็ต้องเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้า
เนื่องจากกระบวนการผลิตรถยนต์ไฮบริดนั้นสอดคล้องกับความเป็นจริงมากกว่าในแง่ของการผลิตแบตเตอรี่และจัดหาแร่ธาตุที่เกี่ยวข้อง บริษัทรถยนต์จึงสามารถผลิตเร่งผลิตรถไฮบริดได้มากกว่าและรวดเร็วยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับรถยนต์ไฟฟ้าแบบ 100%
ความคิดเห็นข้างต้นไม่ใช่ของผู้เขียนแต่เป็นของโจฮาน เฮลซิง ผู้เชี่ยวชาญจากสถาบันเทคโนโลยี China Euro Vehicle Technology (CEVT) ของ Geely เฮลซิงมีประสบการณ์ทำงานด้านการพัฒนามอเตอร์ไฟฟ้าและระบบส่งกำลังของ Volvo Car Group นานถึง 25 ปีก่อนจะย้ายมาทำงานกับค่ายรถยักษ์ใหญ่จากจีน
“ผมแสดงความคิดเห็นที่ชัดเจนไปแล้วหลายครั้งว่า ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ากำลังเข้าสู่ปัญหาคอขวด อันเกิดจากการผลิตแบตเตอรี่ที่ไม่ทันต่อความต้องการ” เฮลซิง กล่าวกับเว็บไซต์ Wapcar.my พันธมิตรจากมาเลเซียของ AutoFun Thailand
ศูนย์วิจัยยานยนต์ Centre for Automotive Research ในเยอรมนีคาดการณ์ว่า เมื่อปัญหาการขาดแคลนชิปส์เซมิคอนดักเตอร์คลี่คลาย อุตสาหกรรมยานยนต์จะต้องเผชิญกับปัญหาใหม่ นั่นคือการขาดแคลนแร่ธาตุสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ภายในปี 2023 ซึ่งทำให้กำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าลดลงถึง 4.4 ล้านคัน
แต่กำลังการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจะเพิ่มสูงขึ้นภายในปี 2030 เมื่อโรงงานผลิตแบตเตอรี่เปิดทำการมากขึ้น มีการจุดแร่ธาติได้มากขึ้น และอาจตรงกับเป้าหมายการห้ามใช้รถเครื่องยนต์สันดาปในยุโรปภายในปี 2035
การโต้เถียงถึงประโยชน์ของระบบขับเคลื่อนแบบไหนดีกว่ากัน ระหว่างรถยนต์ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้ากลายเป็นการถกเถียงที่ดุเดือดใกล้เคียงกับศาสนาและการเมืองมากขึ้นทุกขณะ ใครปักใจเชื่อไปแล้วว่าแบบไหนเหนือกว่าก็จะเชื่อไปตามนั้นอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู
คนที่มีหัวการเมืองเอียงซ้ายมักเชื่อว่ารถยนต์ไฟฟ้าคือคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง รัฐบาลควรจะให้การสนับสนุนรถอีวีอย่างเต็มที่ พร้อมกับชี้นิ้วไปยังบริษัทรถยนต์ที่ให้การสนับสนุนรถไฮบริดว่าเป็นตัวถ่วงความเจริญก้าวหน้าและจะเจ๊งไม่เป็นท่าอย่างแน่นอน
บริษัทรถยนต์อย่าง Hyundai, BMW, Toyota, Geely และ Audi มองว่าการนำเสนอระบบขับเคลื่อนหลากหลายประเภทนั้นย่อมดีกว่าการจำกัดแค่รถยนต์ไฟฟ้าล้วน ๆ และเครื่องยนต์สันดาปภายในยังมีความสำคัญ แต่คนที่เห็นต่างมักปักใจเชื่อว่าบริษัทรถยนต์คิดเช่นนั้นเพราะมีการลงทุนมหาศาลไปกับเครื่องยนต์สันดาปและต้องการถอนทุนคืน
แต่หากมองไปที่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างจีน รัฐบาลแดนมังกรเองก็ยังไม่เชื่อว่าตลาดรถยนต์ในอนาคตจะถูกครอบครองโดยรถยนต์ไฟฟ้า ปักกิ่งตั้งเป้าลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ด้วยการกำหนดว่ารถยนต์ใหม่ 50% ในปี 2035 จะต้องเป็นรถไฮบริด ส่วนที่เหลือเป็นรถปลั๊กอินไฮบริด รถยนต์ไฟฟ้า หรือรถไฮโดรเจนฟิวเซล
นั่นแสดงให้เห็นว่าจีนที่เป็นยักษ์ใหญ่ในการผลิตแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ายังต้องการมีทางเลือกระบบขับเคลื่อนที่หลากหลายเช่นกัน
ปัญหาของการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ายังไม่ใช่แค่เรื่องการผลิตแบตเตอรี่หรือการแสวงหาแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการผลิตแบตเตอรี่ แต่ยังรวมถึงการกักเก็บพลังงานไฟฟ้าเพื่อให้ผู้บริโภคสามารถใช้ได้เพียงพอต่อความต้องการ ลำพังแค่ไฟฟ้าที่เกิดจากพลังงานหมุนเวียนอย่างแสงอาทิตย์และลมยังไม่ใช่แหล่งที่ยั่งยืน
รัฐบาลจีนจึงให้ความสำคัญกับระบบขับเคลื่อนที่หลายคนมองข้ามอย่างไฮโดรเจนฟิวเซล เนื่องจากไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงที่กักเก็บได้ง่ายกว่า
เมื่อบวกปัจจัยหลายอย่างเข้าไว้ด้วยกัน หลายคนคงพยักหน้าไปตามความคิดเห็นของเฮลซิงที่ชี้ว่ารถยนต์ไฮบริดยังมีความสำคัญในอนาคตระยะยาว
เฮลซิง กล่าวว่า “รถยนต์ไฮบริดไม่ใช่รถที่เป็นตัวคั่นเวลาระหว่างการเปลี่ยนผ่านจากรถเครื่องยนต์สันดาปไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า แต่รถไฮบริดตอบโจทย์การใช้งานที่แตกต่างออกไป Toyota เป็นผู้นำการส่งเสริมรถไฮบริด เพราะพวกเขารู้ว่ามันใช้งานได้ดี ประหยัดน้ำมันมากขึ้น 30% เมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์ปกติ แถมมีเทคโนโลยีที่มีเสถียรภาพและไว้วางใจได้”
มาซาฮิโกะ มาเอดะ รองประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีของ Toyota เคยกางข้อมูลให้เห็นกันชัด ๆ ว่า ยอดขายรถไฮบริดของ Toyota มีจำนวนสูงถึง 18.1 ล้านคันแล้วนับตั้งแต่เริ่มขายคันแรกในปี 1997 ช่วยลดปริมาณคาร์บอนไดออกไซด์ลงได้เทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้า 5.5 ล้านคัน แต่ใช้แบตเตอรี่เทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้า 260,000 คัน
นอกจากนี้ เฮลซิงยังกล่าวสนับสนุนการใช้งานรถปลั๊กอินไฮบริดอีกด้วย เขาชี้ว่าการเสียบปลั๊กชาร์จไฟรถยนต์จะช่วยให้ผู้บริโภคเกิดความคุ้นเคยในการใช้งานรถอีวีมากขึ้น
“บางคนมองว่ารถปลั๊กอินไฮบริดคือการรวมจุดอ่อนของเครื่องยนต์สันดาปกับระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า แต่รถปลั๊กอินไฮบริดช่วยให้คุณเดินทางระยะใกล้ด้วยไฟฟ้า และเดินทางระยะไกลได้ด้วยเครื่องยนต์สันดาป จึงไม่มีข้อจำกัดด้านจุดชาร์จไฟ” เฮลซิง กล่าวเพิ่มเติม
เมื่อถามถึงข้อสงสัยที่ว่าแบตเตอรี่ในรถยนต์ไฮบริดไว้วางใจได้น้อยกว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้าเพราะมีวงจรการประจุ-คลายประจุถี่กว่า เฮลซิงตอบว่าชื่อเสียงการสร้างรถไฮบริดนานร่วม 20 ปีของ Toyota พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ารถไฮบริดใช้งานได้ดีเยี่ยม
“เป็นความจริงที่ว่าแบตเตอรี่รถยนต์ไฮบริดมีการประจุ-คลายประจุบ่อยกว่า แต่รถไฮบริดถูกออกแบบมาให้ทำงานเช่นนั้นจึงมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ผมไม่เห็นว่าคุณภาพแบตเตอรี่ของรถไฮบริดจะด้อยกว่ารถประเภทอื่น” เฮลซิง กล่าว
สำหรับ Geely เองก็มีกลยุทธ์การพัฒนารถไฮบริดควบคู่ไปกับรถยนต์ไฟฟ้า 100% ด้วยเช่นกัน ซึ่งเฮลซิงยอมรับว่าจะทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากที่สนับสนุนรถอีวีอย่างแน่นอนที่อาจมองว่า Geely สมรู้ร่วมคิดกับบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน
ปัจจุบัน Geely มีแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าที่ทำตลาดระดับบนอย่างแบรนด์ Zeekr ที่มุ่งแข่งขันกับ Tesla และแบรนด์แมสอย่าง Geometry ที่มีราคาถูกกว่าและตอบโจทย์คนต้องการซื้อรถอีวีคันแรกในชีวิต
Geely ยังมีแบรนด์ Lynk & Co ที่มีรถปลั๊กอินไฮบริดให้ลูกค้าได้เลือกสรรเช่นกัน ส่วนรถบัสและรถเพื่อการพาณิชย์ก็มีที่ใช้เชื้อเพลิงไฮโดรเจนฟิวเซล
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}