รู้จักระบบความปลอดภัย Honda Sensing 360 ปิด “จุดบอด” รอบคันได้อย่างไร

Honda (ฮอนด้า) เปิดตัวระบบความปลอดภัยรุ่นใหม่ Honda Sensing 360 เน้นช่วยเหลือผู้ขับขี่ด้วยการกำจัดจุดบอดรอบตัวรถ

ระบบ Honda Sensing 360 ได้รับการพัฒนาด้วยเป้าหมาย “สร้างสังคมที่ปราศจากอุบัติเหตุสำหรับทุกคนที่ใช้ถนนร่วมกัน” โดยเป็นการต่อยอดจากระบบ Honda Sensing ที่เปิดตัวครั้งแรกในปี 2014 และคอรถยนต์ในเมืองไทยรู้จักกันดีเพราะมีใช้อยู่ในรถยนต์หลายรุ่นที่จำหน่ายในบ้านเรา

เทคโนโลยีสำคัญที่ถูกใส่เข้ามานั้นมีจุดประสงค์เพื่อขจัดมุมอับสายตาของผู้ขับขี่ ป้องกันอุบัติเหตุ และช่วยลดความเครียดของผู้ขับขี่ในการสัญจรบนท้องถนนทั้งทางใกล้และทางไกล

เพิ่มเรดาร์และกล้องตรวจจับ

ระบบ Honda Sensing ในปัจจุบันใช้กล้องตรวจจับด้านหน้า ทาง Honda พัฒนาสู่ระบบ Honda Sensing 360 ด้วยการเพิ่มเรดาร์ความถี่สูงอีก 5 ตัว แบ่งเป็นติดตั้งด้านหน้า 1 ตัว และที่มุมของตัวรถรอบคันอีก 4 ตัวเพื่อทำการตรวจจับสภาพแวดล้อมโดยรอบตัวรถ

 การพัฒนาครั้งนี้ทำให้มีระบบช่วยเหลือผู้ขับีข่เพิ่มเติมเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติที่ตรวจจับสิ่งกีดขวางได้ดียิ่งขึ้น ทั้งรถยนต์ร่วมท้องถนนและคนเดินถนนเมื่ออยู่ในมุมอับสายตา อย่างการขับขี่ข้ามทางแยกเป็นต้น

ระบบแจ้งเตือนการจราจรตัดขวางด้านหน้า ช่วยทำให้ผู้ขับขี่ได้ทราบว่ามีรถยนต์กำลังเคลื่อนเข้ามาที่ทางแยกทั้งจากด้านหน้าและด้านข้าง หากมีความเสี่ยงว่าจะเกิดการชนจะมีการแจ้งเตือนทั้งภาพและเสียงเพื่อให้ผู้ขับขี่ระมัดระวังมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีระบบป้องกันการเปลี่ยนเลนที่เกิดความเสี่ยง ช่วยตรวจจับรถยนต์หรือรถมอเตอร์ไซค์ที่อยู่ในเลนข้าง ๆ เยื้องไปด้านหลัง มีการแจ้งเตือนด้วยเสียงและภาพหากมีความเสี่ยง ส่วนระบบช่วยเหลือการเปลี่ยนเลนจะทำงานเมื่อเปิดใช้ระบบล็อกความเร็วแปรผัน หลีกเลี่ยงการชนรถคันหน้า

ปิดท้ายด้วยระบบช่วยเหลือขณะขับขี่เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ทำงานเมื่อเปิดใช้ระบบล็อกความเร็วแปรผันเช่นกัน ช่วยตรวจจับเส้นโค้งของถนน้านหน้าและสั่งการให้ตัวรถเข้าโค้งด้วยความเร็วที่เหมาะสมเพื่อความปลอดภัยและราบรื่น

Honda ระบุว่าระบบ Honda Sensing 360 เกิดขึ้นจากองค์ความรู้ที่ได้จากการพัฒนาระบบ Honda Sensing Elite ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 หรือ Level 3 ที่ติดตั้งครั้งแรกในโลกในรถยนต์ซีดานพรีเมียม Honda Legend Hybrid EX ตัวท็อป

ระบบ Honda Sensing 360 จะถูกใช้งานกับรถโปรดักชั่นตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป เริ่มต้นจากรถยนต์ที่จำหน่ายในเมืองจีน ก่อนทยอยใช้กับรถยนต์ในประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกภายในปี 2030