เมื่อ Bridgestone จับมือ Michelin สองยักษ์ใหญ่จะสร้างยางรถยนต์เพื่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร

Bridgestone และ Michelin สองบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก กำลังร่วมมือกันปรับปรุงและหาแนวทางในการผลิตยางรถยนต์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

ทั้งสองบริษัทจะเปิดเผยร่างกลยุทธ์ในการเพิ่มการใช้วัสดุคาร์บอนแบล็คที่ได้มาจากการรีไซเคิล ซึ่งพวกเขากล่าวว่าจะส่งเสริม "ระบบนิเวศการสัญจรที่ยั่งยืนมากขึ้น" ภายในงานแถลงข่าวร่วมกันในวันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายนนี้

คาร์บอนแบล็กเป็นสารคล้ายเขม่าที่มาจากส่วนที่เผาไหม้ของปิโตรเคมี ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของยาง แต่ปัจจุบันมีคาร์บอนแบล็คน้อยกว่า 1% ที่ใช้ในอุตสาหกรรมยางรถที่มาจากยางรีไซเคิล แม้ว่าจะมียางราว 1 พันล้านเส้นที่หมดอายุการใช้งานในแต่ละปี

Michelin และ Bridgestone ถือว่าสิ่งนี้เป็น “หนทางที่ยากลำบากในการจัดหาเพื่อทำการฟื้นฟูและนำคาร์บอนแบล็กกลับมาใช้ใหม่" ซึ่งพวกเขาวางแผนที่จะร่วมมือกับแบรนด์ยางรถยนต์อื่น ๆ ผู้จัดจำหน่ายคาร์บอนแบล็คและบริษัทที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี

การใช้คาร์บอนแบล็กจากยางรถยนต์ที่ไม่ได้ใช้แล้วและนำมารีไซเคิลเพื่อผลิตยางรถยนต์ใหม่ สามารถลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 85% ตามที่บริษัทได้ทำการคาดการณ์ไว้

ก่อนการนำเสนอในวันจันทร์ที่จะถึงนี้ เจค รอนส์โฮลต์ หัวหน้าฝ่ายกลยุทธ์และการเปลี่ยนแปลงของ Michelin อธิบายว่า “การนำคาร์บอนแบล็คมาใช้ใหม่ในปริมาณที่มากขึ้นมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อวิสัยทัศน์ของ Bridgestone ในการลดมลพิษบนท้องถนน"

รอนส์โฮลต์ มองว่าการร่วมมือกันครั้งใหม่กับบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นจะช่วยสร้าง "โมเมนตัมที่สำคัญ" ในด้านนี้

ความคิดเห็นของเขาสอดคล้องกับแซนเดอร์ เวอร์เมอเลน รองประธาน บริษัทของ Michelin ที่กล่าวว่า "หลายปีที่ผ่านมา มีการอภิปรายอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับข้อจำกัดและอุปสรรคต่างๆ ที่ขัดขวางไม่ให้อุตสาหกรรมยางนำวัตถุดิบกลับมาใช้ใหม่หรือนำกลับมาใช้ในปริมาณมาก”

“เรารู้สึกว่าถึงเวลาแล้วที่จะหยุดถกเถียงกันและมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาที่จะช่วยให้อุตสาหกรรมยางสามารถหมุนเวียนและเพิ่มความสามารถในการนำวัสดุรีไซเคิลหรือวัสดุที่นำกลับมาใช้ใหม่จากยางที่หมดอายุการใช้งานมาใช้” เวอร์เมอเลน กล่าว

"ผมดีใจที่เราได้ร่วมมือกับ Bridgestone และแบ่งปันวิสัยทัศน์ของเรา เราได้เชิญผู้ที่มีส่วนรวมในกระบวนการผลิตยางรถยนต์และยางให้เข้าร่วมหนทางสู่การนำวัสดุหมุนเวียนมาใช้ต่อไป" รองประธานบริษัท Michelin กล่าวปิดท้าย