เผยต้นทุนแบตเตอรี่พุ่งสูงแต่คนยังซื้อรถยนต์ไฟฟ้า เพราะเหตุใด?

ผู้บริโภคทั่วโลกยังให้ความสนใจในรถยนต์ไฟฟ้า ถึงแม้ราคาจำหน่ายจะแพงขึ้นก็ตาม เนื่องจากต้นทุนการผลิตพุ่งสูงตามราคาวัตถุดิบ

สำนักข่าว Reuters รายงานว่าต้นทุนการผลิตเซลส์แบตเตอรี่โดยเฉลี่ยในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 160 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 50% เมื่อเทียบกับในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้วซึ่งอยู่ที่ 105 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง

ต้นทุนที่สูงขึ้นมาจากปัญหาด้านซัพพลายเชนที่ส่งผลต่อการจัดหาวัตถุดิบ และเคราะห์ซ้ำกรรมซัดจากการคว่ำบาตรรัสเซียที่ตัดสินใจใช้กำลังทหารรุกรานยูเครน

รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นเล็กอย่าง Hongguang Mini ซึ่งมียอดขายสูงที่สุดในจีนมีต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่อยู่ที่เกือบ 1,300 เหรียญสหรัฐหรือเท่ากับ 30% ของราคาจำหน่ายเลยทีเดียว

หลายค่ายรถยนต์ ตั้งแต่ Tesla ไปจนถึง SAIC-GM-Wuling ผู้ผลิต Hongguang Mini ได้ผลักภาระด้านต้นทุนไปให้ผู้บริโภคด้วยการปรับราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าให้สูงขึ้น

แอนดี้ พาลเมอร์ ประธานกรรมการ InoBat ผู้ผลิตแบตเตอรี่จากยุโรปเปิดเผยว่า สัดส่วนผลกำไรจากการผลิตแบตเตอรี่นั้นน้อยมากอยู่แล้ว ดังนั้นการปรับขึ้นราคานั้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ และบริษัทรถยนต์ต้องเป็นผู้แบกรับภาระแทน

Mercedes-Benz เป็นหนึ่งในค่ายรถที่เลือกปรับราคาจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าหากวัตถุดิบมีต้นทุนสูงขึ้น โดยมาร์คัส แชเฟอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายเทคโนโลยียืนยันว่า “เราจำเป็นต้องรักษาผลกำไรไว้”

แต่ผู้บริโภคไม่หวั่น ยังหันไปสนใจรถอีวี

คำถามที่เกิดขึ้นคือ ทำไมผู้บริโภคถึงยังตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า Reuters ระบุว่าเป็นเพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงทั้งเบนซินและดีเซลก็ปรับตัวสูงขึ้นเช่นกัน ขณะที่ความวิตกกังวลด้านสิ่งแวดล้อมก็ผลักดันให้คอรถยนต์หันไปหารถพลังงานทางเลือก

ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึงเกือบ 120% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ค่ายรถอีวีจากจีนอย่าง Nio, Xpeng และ Li Auto ล้วนทำยอดขายเป็นสถิติใหม่ ส่วน Tesla ก็ส่งมอบรถมากที่สุดเป็นประวัติการณ์ถึง 310,000 คัน

เวนแคท ซรีนีวาซาน ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์พลังงานแห่งสหรัฐอเมริกากล่าวว่า ผู้บริโภคซื้อรถยนต์ไฟฟ้าด้วยแรงขับเคลื่อนด้านอารมณ์เป็นหลัก

“มีผู้คนจำนวนมากขึ้นที่ตัดสินใจซื้อรถอีวี โดยเต็มใจแบกรับภาระต้นทุนแบตเตอรี่ที่สูงขึ้น และราคาจำหน่ายที่แพงขึ้น” ซรีนีวาซาน กล่าวเพิ่มเติม

มีการวิเคราะห์ว่าต้นทุนแบตเตอรี่จะยังคงสูงต่อไปจนกว่าเทคโนโลยีจะมีความก้าวหน้า พร้อมกับกำลังการผลิตที่สูงขึ้นที่จะช่วยลดต้นทุนลงมาได้เหมือนที่เกิดขึ้นในอดีต โดยต้นทุนการผลิตแบตเตอรี่ 105 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ในปีที่แล้วถือว่าถูกอย่างยิ่งเมื่อเทียบกับในปี 1991 ที่มีต้นทุน 7,500 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์

การลงทุนของบริษัทรถยนต์ และซัพพลายเออร์ทั้งในด้านการผลิตและการจัดหาแหล่งวัตถุดิบที่หลากหลายมากขึ้นจะช่วยชดเชยต้นทุนได้

“ตอนนี้ราคาแบตเตอรี่เหมือนฟองสบู่ ซึ่งจะเริ่มคลี่คลายลงได้หลังจากผ่านพ้นปี 2023 ไปแล้ว” พราบาการ์ พาทิล อดีตผู้บริหารระดับสูงของ LG Chem เผย

ก่อนหน้านี้ อุตสาหกรรมยานยนต์เฝ้ารอที่ราคาแบตเตอรี่จะลดต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งเป็น “เส้นแบ่ง” ที่จะช่วยให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าเทียบเท่ารถเครื่องยนต์สันดาป แต่นักวิเคราะห์มองว่าเส้นแบ่งดังกล่าวอาจไม่จำเป็นแล้ว

สแตน วิททิงแฮม ผู้ร่วมคิดค้นแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนซึ่งได้รับรางวัลโนเบลในปี 2019 กล่าวว่า ความต้องการซื้อรถอีวีในจีนและตลาดอื่น ๆ พุ่งสูงเหนือความคาดหมายอันเกิดจากหลากหลายปัจจัย

ความกังวลด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพอากาศเป็นหนึ่งในแรงจูงใจ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า

“คนรุ่นใหม่อายุน้อยตัดสินใจซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ไม่ได้มีสาเหตุแค่เรื่องความประหยัด แต่ยังคำนึงถึงโลกใบนี้ด้วย พวกเขาซื้อรถยนต์ไฟฟ้าที่มีราคาสูงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป นั่นหมายความว่าต้นทุนแบตเตอรี่อาจไม่ใช่ปัจจัยลบที่เราต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก” คริส เบิร์นส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Novonix บริษัทผู้ผลิตแบตเตอรี่ชั้นนำกล่าว

“ผมคิดว่าเราจะเห็นรายงานข่าวเกี่ยวกับราคาแบตเตอรี่ต่อไป ถึงแม้ราคาจะไม่ปรับตัวลงตามคาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าความสนใจในรถอีวีจะลดลง” เบิร์นส์ กล่าวปิดท้าย