BMW Group (บีเอ็มดับเบิลยู) เปิดเผยกำไรก่อนหักดอกเบี้ยและภาษีในไตรมาสแรกของปีนี้อยู่ที่ 3.39 พันล้านยูโร (ปรมาณ 1.2 แสนล้านบาท) เพิ่มขึ้น 12.1% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว
รายได้ของค่ายรถยักษ์ใหญ่จากเยอรมนีเพิ่มขึ้นจาก 2.677 หมื่นล้านยูโรไปอยู่ที่ 3.145 หมื่นล้านยูโร ขณะที่ผลกำไรก่อนหักภาษีเพิ่มขึ้นจาก 3.757 พันล้านยูโรไปเป็น 1.22 หมื่นล้านยูโร
ผลประกอบการที่น่าประทับใจดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางอุปสรรคมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการรุกรานของรัสเซียต่อยูเครน การล็อกดาวน์เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และปัญหาซัพพลายเชนที่ส่งผลต่อสายการผลิตรถยนต์
รายได้ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดและต่อเนื่องของ BMW Group ส่วนหนึ่งมาจากการขยายการถือครองหุ้นของบริษัทร่วมทุนกับ Brilliance ในประเทศจีน โดยมีการประกาศข้อตกลงเมื่อปลายปี 2018 และบรรลุข้อตกลงได้เมื่อกลางเดือนภุมภาพันธ์ที่ผ่านมา
BMW ยังทำการขยายสัญญาการบริหารบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจากปี 2028 ไปเป็นปี 2040 จึงมั่นใจได้ว่าพวกเขาจะเติบโตในระยะยาวอย่างยั่งยืน
รายงานการเงินของ BMW ระบุว่า สงครามในยูเครน การล็อกดาวน์ในจีน และปัญหาซัพพลายเชนที่เกิดจากการขาดแคลนสายไฟและเซมิคอนดักเตอร์ทำให้สายการผลิตรถยนต์ทั่วโลกประสบภาวะชะงักงันในช่วงไตรมาสแรกของปี 2022
“อย่างไรก็ตาม ถึงแม้บริษัทฯ จะมียอดขายลดลง แต่ก็ชดเชยได้ด้วยการกำหนดราคาตามกลยุทธ์และการผสมผสานผลิตภัณฑ์ที่ตรงต่อความต้องการของลูกค้า รวมถึงธุรกิจอะไหล่และอุปกรณ์ตกแต่งก็ได้เสียงตอบรับจนมียอดขายสูงมาก” BMW ระบุ
นอกเหนือจากจีน BMW ยังทำผลงานได้ดีในตลาดสำคัญอย่างสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ โดยสามารถกำหนดราคาที่สูงขึ้นได้เพื่อสร้างรายได้เพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้รับผลกระทบด้านบวกจากอัตราแลกเปลี่ยนที่เป็นประโยชน์
ยอดขายรถยนต์ BMW ในไตรมาสแรกของปีนี้ลดลงเล็กน้อยโดยอยู่ที่ 596,907 คัน ถดถอยจาก 636,606 คันในช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว ขณะที่ยอดการผลิตรถยนต์ก็ลดลงจาก 669,118 คันในปีที่แล้วเหลือ 541,776 คัน
BMW ระบุว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าและไฮบริดเพิ่มขึ้นอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะรถอีวีที่ขยับขึ้นเท่าตัวจาก 14,161 คันในปีก่อนหน้าไปอยู่ที่ 35,289 คันในช่วงสามเดือนแรกของปีนี้
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}