ย่างเข้าเดือน 6 ฝนก็เริ่มตกพรำ ๆ ในฤดูฝนแบบนี้ หลายคนหลีกเลี่ยงในการล้างรถเพราะฝนมักจะตกไม่เป็นเวลา ซึ่งเมื่อเห็นรถถูกน้ำไปแล้วก็คิดว่ามันจะชะล้างฝุ่นไปจนหมด แค่เอาผ้าเช็ดก็พอ
แต่ในความเป็นจริงแล้วมันกลับกัน การล้างรถฤดูฝนถือว่าจำเป็นอย่างมาก มากกว่าฤดูอื่นด้วยซ้ำ
น้ำฝนที่ตกลงมา จากการล้างฝุ่นจะกลับสร้างปัญหามากกว่าเดิม เพราะในน้ำฝนจะมีการรวมเอาก๊าซไอเสียจากรถยนต์รวมถึงเขม่าจากการเผาโรงงานและเผาป่า เกิดเป็นมลพิษลอยขึ้นอากาศ
เมื่อเข้าไปทำปฏิกิริยากันในเมฆก็จะตกลงมาเป็นฝนกรด เมื่อโดนเข้ากับตัวรถก็จะทำลายสีไปช้า ๆ โดยที่เราไม่รู้ตัว
อ่านเพิ่มเติม ม่านบังแดดมีประโยชน์อย่างไร?
การปล่อยให้รถแห้งหลังฝนหยุด จะทำให้คราบน้ำฝังแน่นจนเป็นรอยด่างทั้งบนกระจกและตัวถัง สะสมไปเรื่อย ๆ จนเป็นคราบฝังลึก
อีกหนึ่งสิ่งที่อาจจะเกิดได้ คือการสะสมฝุ่นโคลนตามซอกหลืบตัวถัง สะสมความชื้นจนกัดกินเนื้อสีเป็นคราบดำ เกิดเป็นสนิมในเวลาต่อมา
ถ้ารถของคุณจอดอยู่ใต้ต้นไม้ ขณะฝนตกหรือหลังจากนั้นอาจมีเศษใบไม้ เกสรดอกไม้ เศษกิ่งไม้ หรือแม้แต่แมลงปลิวมาเกาะได้
เมื่อสิ่งเหล่านี้แห้งติดบนพื้นผิวรถจะเกิดเป็นคราบแห้งได้เช่นกัน จนทำความสะอาดได้ยาก รอยเปื้อนบางจุดล้างด้วยแชมพูไม่ออก ต้องพึ่งพาน้ำยาทำความสะอาดชนิดพิเศษ
อ่านเพิ่มเติม ห้องเครื่องสกปรก ล้างได้ไหม
วิธีที่ปกป้องสีรถจากฝนตกได้ดีที่สุด คือการหมั่นล้างรถด้วยน้ำยาล้างรถ เพราะในแชมพูทุกยี่ห้อจะมีฤทธิ์เป็นด่าง แถมมีสารลดแรงตึงผิว ไว้ทำลายสภาพฝนกรดให้ละลายไปพร้อมกัน อีกทั้งในบางยี่ห้อยังมีแว็กซ์ในตัว เพื่อเคลือบสีรถบาง ๆ เอาไว้เป็นโล่รับน้ำฝนในครั้งต่อไป
สำหรับคนที่ขี้เกียจล้างหลังฝนตก ก็มักจะฉีดล้างและดินโคลนด้วยน้ำเปล่าแล้วนำผ้าไปเช็ด สามารถทำได้จริง แต่ก็ยังสู้ล้างแชมพูไม่ได้
เข้าใจได้ว่าเจ้าของรถหลายคนก็ไม่ได้มีเวลาว่างในการล้างรถทุกวัน ก็สามารถล้างด้วยน้ำเปล่าเพื่อบรรเทาไปก่อนได้ แล้วในวันหยุดค่อยล้างด้วยแชมพู หรือเข้าคาร์แคร์เดือนละครั้งตามงบ
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}