บริษัทรถยนต์หลายรายทั่วโลกกำลังแข่งขันกันพัฒนาระบบขับขี่อัตโนมัติ เพื่อยกระดับความปลอดภัยบนท้องถนน และขจัด “ความผิดพลาดที่เกิดจากมนุษย์” ซึ่งมักนำไปสู่อุบัติเหตุ
หนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญที่ถูกใช้งานในรถขับขี่อัตโนมัติคือระบบ light detection and ranging หรือ LiDAR ที่ใช้แสงไฟเลเซอร์ในการตรวจจับและสแกนรูปทรงและตำแหน่งวัตถุแวดล้อมตัวรถ เพื่อควบคุมสั่งการการเคลื่อนที่
LiDAR ถูกมองว่าเป็น “ดวงตา” ของรถขับขี่อัตโนมัติ เนื่องจากมีศักยภาพในการตรวจจับที่สูงกว่ากล้องและเซ็นเซอร์เรดาร์แบบดั้งเดิมซึ่งทำงานด้วยคลื่นวิทยุ ขณะเดียวกัน ยังถูกจัดให้เป็น “อุปสรรค” ในการพัฒนารถไร้คนขับด้วยเช่นกัน เพราะเหตุใด มาชมกัน
คาซูโอะ ชิมิสุ ผู้สื่อข่าวสายยานยนต์จากประเทศญี่ปุ่น กล่าวว่า ทุกบริษัทรถยนต์จะใช้ LiDAR เป็นองค์ประกอบหลักในการพัฒนารถขับขี่อัตโนมัติ เพราะสามารถป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นกับเทคโนโลยียุคก่อนหน้าได้
“แต่หนึ่งในอุปสรรคสำคัญของ LiDAR คือจะทำอย่างไรถึงจะปรับลดต้นทุนได้เพื่อเพิ่มความปลอดภัยบนท้องถนน” ชิมิสุ กล่าวเพิ่มเติม
สำนักข่าว Asahi ของแดนอาทิตย์อุทัยรายงาน การผลิต LiDAR จำนวน 1 ตัวอาจต้องใช้ต้นทุนสูงกว่า 1 ล้านเยนหรือประมาณหรือประมาณ 2.7 แสนบาทเลยทีเดียว
เมื่อปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา Nissan ได้เปิดตัวรถต้นแบบรุ่นใหม่ที่ติดตั้งระบบ LiDAR เพื่อทำการทดลองใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติ พร้อมกับประกาศว่าจะติดตั้งระบบบนี้ในรถยนต์ทุกรุ่นออกจำหน่ายภายในปี 2030
Nissan จับมือกับ Luminar Technologies บริษัทสตาร์ทอัพจากสหรัฐอเมริกาในการพัฒนา LiDAR รุ่นใหม่ล่าสุดที่สามารถตรวจจับและสแกนสิ่งกีดขวางด้านหน้าได้ไกลถึง 300 เมตร โดยสามารถ “สร้างภาพคอมพิวเตอร์” ทีมีรูปทรงและตำแหน่งอันแม่นยำราวกับใช้เครื่องพิมพ์สามมิติ
LiDAR ไม่เพียงจำเป็นต่อการใช้งานระบบขับขี่อัตโนมัติเพราะความแม่นยำในการสแกนสภาพแวดล้อม แต่ยังมีความสามารถที่จะประมวลผลท้องถนนที่ไม่มีอยู่ในแผนที่ได้ ทำให้ตัวรถเคลื่อนที่โดยไม่ต้องมีมนุษย์ควบคุมได้อย่างปลอดภัย
รถต้นแบบของ Nissan ติดตั้งระบบ LiDAR จำนวน 1 ตัวไว้บนหลังคา พร้อมกับมีเรดาร์อีก 7 ตัว และกล้องตรวจจับอีก 10 ตัวทำงานประสานกันด้วย โดยสามารถหลบเลี่ยงสิ่งกีดขวางอย่างต่อเนื่องกันได้ อาทิ การหักหลบรถที่ออกจากซอย ก่อนจะหักหลบคนข้ามถนนอีกครั้งภายในเวลาไม่กี่วินาที
นอกจาก Nissan แล้ว ยังมี Toyota ที่พัฒนาระบบนี้ ตลอดจนบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง Sony, Toshiba และ Denso ที่แข่งขันกันอย่างดุเดือดเพื่อก้าวขึ้นเป็นผู้นำในการพัฒนา LiDAR
อย่างไรก็ตาม ด้วยต้นทุนการผลิตที่สูงลิบลิ่ว LiDAR จึงยังห่างไกลกับการใช้งานอย่างแพร่หลายในอนาคตอันใกล้ เห็นได้จาก Honda ที่ติดตั้งระบบนี้ 5 ตัวไว้ใน Legend ที่มาพร้อมระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 แต่มีราคาจำหน่ายสสูงถึง 11 ล้านเยนหรือประมาณ 3 ล้านบาท
ผู้นำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าอย่าง Tesla ตระหนักดีถึงข้อจำกัดด้านต้นทุนจึงใช้งานกล้องตรวจจับแทน LiDAR ในระบบขับขี่อัตโนมัติ AutoPilot
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}