ในช่วงหน้าฝน แน่นอนว่าปัญหาที่คนไทยจะเจอก็คือการจราจรติดขัด และมีน้ำท่วมขัง ซึ่งการขับรถฝ่าน้ำท่วม ต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากเครื่องยนต์และระบบไฟฟ้าต่าง ๆ ในรถไม่ถูกกับน้ำเลย หากน้ำเข้าเครื่องเมื่อไหร่ คุณจะต้องเสียเงินและเวลาในการมาซ่อม จนอาจบานปลายไปถึงการยกเปลี่ยนเครื่องได้ ฉะนั้นหากเลี่ยงได้ก็ควรจะเลี่ยงเสียดีกว่า
แต่หากคุณจำเป็นจริงๆ ควรประเมินระดับความสูงของน้ำก่อน สำหรับรถเก๋งไม่ควรเกิน 10-30 เซนติเมตร และกระบะไม่ควรเกิน 60-80 เซนติเมตร ทั้งนี้เรามีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการขับฝ่าน้ำท่วมขัง รอการระบายกันครับ
1. ปิดแอร์ทันทีเมื่อเจอน้ำขัง เพราะในขณะที่เรากำลังขับฝ่าน้ำท่วม หากเปิดแอร์ไว้ พัดลมจะทำงาน ทำให้ใบพัดหมุนตีน้ำเข้าไปในห้องเครื่องหรือเข้าระบบไฟได้
2. ใช้เกียร์ต่ำขณะขับฝ่าน้ำท่วม โดยใช้แค่เกียร์ 1 หรือ 2 เท่านั้น สำหรับเกียร์ธรรมดา ส่วนเกียร์ออโต้ให้ใช้เกียร์ L หรือ 1 เนื่องจากจะมีกำลังมากกว่าในการลุยน้ำ
3. อย่าเร่งรอบเครื่องสูงๆ หลายคนมักเข้าใจผิดว่าการเร่งรอบทำให้เครื่องไม่ดับ แต่อันที่จริงแล้วมันทำให้ความร้อนสูง และทำให้พัดลมระบายความร้อนทำงาน และดูดน้ำเข้าเครื่อง ควรรักษารอบเครื่องเอาไว้ประมาณ 1,500 – 2,000 รอบ เพื่อไม่ให้รอบต่ำไป
4. ลดความเร็วลงเมื่อขับรถสวนกับอีกคัน เพราะรถที่สวนกันจะเกิดคลื่นกระทบกัน จะทำให้น้ำยิ่งสูงจนเข้าเครื่องยนต์ อีกทั้งยังช่วยลดอุบัติเหตุได้
5. ควรขับเว้นระยะให้ห่างจากคันหน้า เพราะระบบเบรกนั้นจมอยู่ใต้น้ำ นั่นจะทำให้ประสิทธิภาพในการเบรกมีน้อยลง เราจึงควรเว้นระยะห่างไว้เผื่อเหตุการณ์ฉุกเฉิน
หลังจากที่ขับฝ่าน้ำท่วมมา ให้ติดเครื่องไว้อีกสักพัก เพราะอาจมีน้ำตกค้างอยู่ในหม้อพักท่อ วิธีการนี้จะทำให้ช่วยยืดอายุท่อขึ้น และควรเหยียบเบรกย้ำๆ เพื่อช่วยไล่น้ำออกจากเบรกได้ด้วย
สุดท้ายนี้ หากรถเกิดดับกลางน้ำท่วม อย่าสตาร์ทเครื่องยนต์เด็ดขาด เพราะน้ำที่ค้างอยู่จะยิ่งเข้าระบบ อาจทำให้เครื่องมีปัญหามากกว่าเดิม ให้ช่างหรือผู้เชี่ยวชาญมาดูเสียจะดีกว่า และสำหรับผู้ที่คิดว่ารถจะไม่พ้นน้ำท่วม ให้ถอดขั้วแบต + หรือ – ออกขั้วใดขั้วหนึ่ง หรือทั้ง 2 ขั้ว เพื่อกันระบบไฟฟ้าทำงาน เพื่อเป็นการลดหนักเป็นเบาได้ครับ
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}