- EV มีแนวโน้มที่ค่าซ่อมจะมากกว่า
- จุดอันตรายของ EV
- “คันเร่งลั่น” เป็นสาเหตุการชนหลักของ EV
- EV มีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักมากกว่า
- ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงกำลังและน้ำหนักของรถ
AXA บริษัทประกันภัยจากฝรั่งเศสได้ตรวจสอบลักษณะเฉพาะของอุบัติเหตุที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้าของการทดสอบการชนในปี 2022 ณ เมืองซูริก ประเทศสวิตเซอร์แลนด์
บริษัทนี้พบข้อมูลในการทดสอบนั้นว่า อุบัติเหตุที่มีความเกี่ยวข้องกับรถใหม่นั้นมีแนวโน้มที่จะเสียค่าซ่อมแพงกว่าและเป็นอันตรายต่อรถคันอื่นมากกว่า และรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีจุดอ่อนที่อาจเป็นอันตรายอยู่
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_fourthp_under_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678191139-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678191139-0'); });
EV มีแนวโน้มที่ค่าซ่อมจะมากกว่า
Nils Reich ผู้อำนวยการฝ่ายประกันทรัพย์สินของ AXA ในเยอรมนี กล่าวว่า “บริษัทประกันและลูกค้าของเราต้องจัดการความเสี่ยงใหม่ด้วย แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นสาเหตุให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้นในประเทศนี้ แต่ก็มักจะนำไปสู่การเรียกร้องค่าเสียหายที่มีราคาแพงกว่าได้”
เหตุผลเบื้องหลังการเรียกร้องค่าเสียหายที่มีราคาแพงขึ้นมาจากสาเหตุง่าย ๆ คือ รถยนต์ไฟฟ้าประกอบด้วยเทคโนโลยีที่มีราคาแพง หากเทคโนโลยีเหล่านั้นเกิดความเสียหาย การซ่อมแซมจะต้องมีค่าใช้จ่ายมาก ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าโดยทั่วไป อีวีจะมีเทคโนโลยีความปลอดภัยที่ล้ำสมัยสำหรับห้องโดยสาร แต่ก็มีจุดอ่อนที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการออกแบบของรถเหล่านี้
อ่านเพิ่มเติม : 2023 Nissan Ariya ทดสอบการชนรถยนต์ไฟฟ้า
จุดอันตรายของ EV
ด้วยการออกแบบส่วนใหญ่ที่ให้แบตเตอรี่อยู่ด้านล่างของรถ ความเสียหายจากด้านล่างนี้จะนำไปสู่ความเสียหายที่มีราคาแพงและมีอันตรายในบางครั้ง บริษัทตั้งข้อสังเกตว่า ความเสี่ยงที่ทำให้เกิดไฟไหม้ในทั้งอีวีและรถน้ำมันนั้นถูกพูดเกินจริง เพราะโดยสถิติแล้ว พบว่ามีรถยนต์เพียง 5 ใน 10,000 คันเท่านั้นที่เสี่ยงไฟไหม้
แต่มีพื้นที่หนึ่งของรถยนต์ไฟฟ้าที่มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุมากกว่า และขึ้นอยู่กับการเร่งความเร็ว นั่นคือ มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีแรงบิดอันมหาศาลและทันทีของรถอีวีซึ่งนำไปสู่สถานการณ์ที่ผู้ขับขี่กดคันเร่งแล้วยกออก ซึ่งบางครั้งทำให้สูญเสียการควบคุมและเกิดการชน
“คันเร่งลั่น” เป็นสาเหตุการชนหลักของ EV
Michael Pfaffli หัวหน้าฝ่ายวิจัยอุบัติเหตุของ AXA Switzerland กล่าวว่า “รถยนต์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ โดยเฉพาะคันที่แรงนั้นจะมีแรงบิดมหาศาล ซึ่งแรงบิดนั้นจะมาทันทีที่กดคันเร่ง”
“สิ่งนี้จะเป็นผลทำให้เกิดการเร่งความเร็วที่กระชากแบบไม่ได้ตั้งใจจนผู้ขับขี่ไม่สามารถควบคุมรถได้”
สิ่งที่ AXA พูดถึงคือ “การเหยียบคันเร่งมากเกินไป (overtapping)” ซึ่งนำไปสู่อัตราการเกิดอุบัติเหตุที่สูงขึ้น 50% เมื่อเทียบกับรถเครื่องยนต์สันดาป และนำไปสู่เหตุผลที่ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะทำให้เกิดการชนที่เกิดความเสียหายมากกว่า
EV มีแนวโน้มที่จะมีน้ำหนักมากกว่า
เนื่องจากรถยนต์ไฟฟ้านั้นมีน้ำหนักมากกว่ารถน้ำมัน จึงทำให้มีเกิดแรงมากกว่าเมื่อเกิดอุบัติเหตุ หากรถทั้งสองคันมีขนาดเท่ากัน แต่มีน้ำหนักที่ต่างกัน คันที่หนักกว่าจะมีโอกาสสร้างความเสียหายจากการชนมากกว่า
ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงกำลังและน้ำหนักของรถ
สิ่งนี้ไม่ใช่สิ่งที่เกิดเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้น เพราะทุกวันนี้รถยนต์หลายคันมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น แต่รถที่มีแบตเตอรี่ขนาดใหญ่มักจะมีน้ำหนักเฉลี่ยที่มากกว่า โดย AXA แนะนำว่า ผู้ขับขี่ควรคำนึงถึงกำลังและแรงดังกล่าวในขณะขับขี่
อ่านเพิ่มเติม : จัดอันดับรถยนต์นั่งน้ำหนักตัวมากสุดในปี 2022 ที่เงินก็สามารถซื้อได้ถ้าใจถึง
window.googletag = window.googletag || {cmd: []}; googletag.cmd = googletag.cmd || []; googletag.cmd.push(function() { googletag.defineSlot('/22557728108/th_article_relatedmodel_above_pc', [
728,
90
], 'div-gpt-ad-1685678175456-0').addService(googletag.pubads()); googletag.pubads().enableSingleRequest(); googletag.pubads().collapseEmptyDivs(); googletag.enableServices(); });
googletag.cmd.push(function() { googletag.display('div-gpt-ad-1685678175456-0'); });