GM EV1 (จีเอ็ม อีวี1) เป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าคันแรกที่เข้าสู่สายการผลิตหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม EV1 ก็ถือได้ว่าเป็นผู้บุกเบิกในเทคโนโลยีมากมายของรถยนต์ไฟฟ้าในปัจจุบัน
- บุกเบิกเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้แก่ ระบบ heat pump, ยางประหยัดน้ำมัน, ระบบสตาร์ทโดยไม่ใช้กุญแจ, ระบบ drive by wire และอื่น ๆ
- การเลิกจำหน่าย EV1 เป็นหนึ่งการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของบริษัท
- ยัง “บุกเบิก” เทคโนโลยีอื่นนอกเหนือจากอีวีด้วย
GM EV1 เป็นหนึ่งในโครงการรถยนต์ไฟฟ้าที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในศตวรรษที่ผ่านมา โดยเริ่มจากการทำรถต้นแบบ Impact Experimental Prototype มานำเสนอแก่สาธารณชนในปี 1990 ที่ LA Auto Show
การนำเสนอรถต้นแบบในครั้งนั้นสร้างอิมแพ็คแก่วงการยานยนต์เป็นอย่างมาก และสร้างความกระตือรือร้นแก่หน่วยงานต่าง แม้แต่ California Air Resource Board (CARB) หน่วยงานที่ควบคุมเกี่ยวกับคุณภาพของอากาศ ยังต้องการมีนโยบายให้ผู้ผลิตรถรายใหญ่ผลิตรถยนต์ที่ไม่มีการปล่อยมลพิษ (ZEV) ในแคลิฟอร์เนีย
ด้วยศักยภาพของ EV1 ทำให้ CARB ได้ออกกฎขึ้นมา ส่งผลให้ภายในอุตสาหกรรมรถยนต์ต้องต่อสู้กับกฎนี้กัน และอาจทำให้รถยนต์ไฟฟ้าในช่วงนั้นอาจอยู่ได้นานกว่าที่คิด ก่อนที่จะกลับมาใช้รถน้ำมันกันเนื่องด้วยเทคโนโลยีอีวีในสมัยนั้นยังไม่ตอบโจทย์คนใช้รถเท่าไหร่
EV1 ได้จำหน่ายจริงออกสู่ตลาดในปี 1996 ภายใต้แบรนด์ GM หรือ General Motors โดยตรง ไม่ขึ้นต่อแบรนด์ย่อยใด ๆ ในค่าย
แม้ EV1 จะไม่ได้ประสบความสำเร็จในยอดขายมากนัก แต่ก็ถือได้ว่ามีเทคโนโลยีที่ล้ำยุคมากในสมัยนั้น
การเลิกจำหน่าย EV1 เป็นหนึ่งการตัดสินใจที่แย่ที่สุดของบริษัท
นอกจากทฤษฎีต่าง ๆ เกี่ยวกับยอดขายรถไฟฟ้าคันนี้แล้ว Rick Wagoner ซีอีโอของ GM ในสมัยนั้นที่อยู่ในช่วงเวลาที่ EV1 เลิกจำหน่ายไป ได้ยอมรับในปี 2006 ว่า “การนำโครงการรถยนต์ไฟฟ้า EV1 ออกไปแล้วไม่ได้นำขุมพลังไฮบริดเข้ามาทดแทน” เป็นหนึ่งในการตัดสินใจครั้งที่แย่ที่สุดของเขาระหว่างดำรงตำแหน่งที่ GM
สะท้อนถึงความคิดของ Larry Burns หัวหน้าแผนก R&D ของ GM ผู้ซึ่งกล่าวว่า “ถ้าเขาย้อนเวลากลับไปได้” GM ควรที่จะมี Chevy Volt ตั้งแต่เมื่อ 10 ปีที่แล้ว หลังจากที่เขากล่าวคำพูดนี้ได้ไม่นาน สองปีถัดจากนั้น (2008) GM ก็เข้าสู่ภาวะที่ต้องการความช่วยเหลือจากการล้มละลาย
ความล้มเหลวของการสร้างรถยนต์ไฟฟ้าของ GM อย่างน้อยก็ทำให้ Elon Musk เริ่มต้นการลงทุนใน Tesla อย่างที่เขาประกาศไว้เมื่อปี 2017 และอย่างน้อย GM EV1 ก็เหมือนเป็นพื้นฐานสำหรับเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่ควรมีในรถยนต์ไฟฟ้าทุกวันนี้
“บุกเบิก” เทคโนโลยีสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าทุกวันนี้
EV1 ใช้แหล่งพลังงานจากแบตเตอรี่แบบตะกั่วกรดทั้งหมด 26 ก้อนที่มีพลังงานที่เก็บไว้พอ ๆ กับน้ำมันเพียงครึ่งถังเท่านั้น การที่มีความจุแบตเตอรี่เพียงน้อยนิดทำให้ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีอันชาญฉลาดบางอย่างที่ยังใช้งานอยู่จนทุกวันนี้ ได้แก่ ระบบ heat pump แบบ HVAC, ยางประหยัดน้ำมัน, ระบบสตาร์ทโดยไม่ใช้กุญแจ, ระบบ drive by wire และ brake by wire และอื่น ๆ อีกมากมาย
ระบบ heat pump มีส่วนช่วยให้รถยนต์ไฟฟ้าควบคุมอุณหภูมิภายในรถหรือแบตเตอรี่ได้โดยไม่ใช้พลังงานมากเกินไป แต่ระบบจะขจัดความร้อนโดยรอบและขยายความร้อนด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งรถยนต์ไฟฟ้าทุกวันนี้ก็ไม่ได้มีระบบทุกคัน แต่ระบบนี้จะช่วยให้ประสิทธิภาพของรถดีขึ้น รวมถึงมีระยะทางขับขี่ที่ไกลขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่มีอากาศเย็น
ระบบเบรคแบบหน่วงคันเร่งหรือ Regenerative braking ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่มีใน EV1 ระบบเบรคนี้แทบจะเป็นฟังก์ชั่นมาตรฐานของอีวีทุกคันบนโลกนี้แล้ว ระบบนี้เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพของรถโดยให้มอเตอร์หน่วงรถเมื่อปล่อยคันเร่งเพื่อเก็บพลังงานกลับเข้าไปในแบตเตอรี่
GM EV1 มีระบบเบรคดังกล่าวให้เลือกถึง 2 ระดับด้วยกัน ซึ่งสามารถเลือกโหมดดังกล่าวได้ที่ปุ่มบริเวณคันเกียร์
ข้อมูลจาก Gary Witzenburg จาก Car and Driver ผู้ซึ่งเคยทำงานในโครงการ EV1 ในตำแหน่งผู้จัดการแผนกทดสอบและพัฒนายานยนต์ของ GM Advanced Technology Vehicles ระบุว่า การดีไซน์เบรคแบบหน่วงสองระดับถูกเลือกขึ้นมาเนื่องจากข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับการเปิดใช้ไฟเบรก
ยัง “บุกเบิก” เทคโนโลยีอื่นนอกเหนือจากอีวีด้วย
นอกจากนี้ EV1 ยังแนะนำแนวคิดใหม่ให้แก่อุตสาหกรรมยานยนต์ (ในสมัยนั้น) ได้แก่ พวงมาลัยไฟฟ้าแบบไฮดรอลิค กระจกหน้ารถแบบละลายน้ำแข็งด้วยไฟฟ้า ระบบเบรกไฟฟ้า และเบรกมือไฟฟ้า ระบบตรวจวัดแรงดันลมยาง และการปรับอุณหภูมิห้องโดยสารก่อนเราเข้ามาในรถ ที่รถยนต์ไฟฟ้าในทุกวันนี้ใช้กัน
ยังมีเทคโนโลยีอื่น ๆ ที่ GM EV1 เป็นผู้บุกเบิกและถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ด้วย เช่น ระบบการชาร์จแบบเหนี่ยวนำหรือการชาร์จไร้สาย ซึ่งใช้กันอย่างแพร่หลายกับสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ ทุกวันนี้
อ่านเพิ่มเติม : Honda และ GM ขยับความร่วมมือรถยนต์ไฟฟ้า สู่การผลิตปีละหลักล้านคันภายในอีก 5 ปีเท่านั้น