คณะรัฐมนตรีอนุมัติร่างกฎกระทรวงจำกัดความเร็วยานพาหนะหลากหลายประเภท รถยนต์ห้ามขับเกิน 120 กม.ต่อชม. มอเตอร์ไซค์ไม่เกิน 100 กม.ต่อชม. มุ่งลดอุบัติเหตุบนท้องถนน
ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวงกำหนดความเร็วของยานพาหนะ ตามที่กระทรวงคมนาคมเสนอและให้ส่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจพิจารณาแล้วดำเนินการต่อไปตามขั้นตอน
ทั้งนี้สาระสำคัญของกฎหมายฉบับดังกล่าวได้กำหนดความเร็วในการขับรถในทางหลวงแผ่นดินทางหลวงชนบทที่มีทางเดินรถแบบจัดแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันไว้ตั้งแต่ 2 ช่องเดินรถมีเกาะกลางถนนเฉพาะแบบกำแพงกั้นและไม่มีจุดกลับรถเสมอระดับถนน
กำหนดความเร็วตามประเภทของรถ
รถบรรทุกที่มีน้ำหนักเกิน 2,200 กิโลกรัม (ก.ก) รถบรรทุกคนโดยสารเกิน 15 คนให้ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 90 กม.ต่อชม. ส่วนรถบรรถทุกคนโดยสารเกิน 7 คน แต่ไม่เกิน 15 คนให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม.ต่อชม. ขณะที่รถที่ชักจูงรถอื่น รถยนต์สื่อเล็ก หรือรถยนต์สามล้อ ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 65 กม.ต่อชม.
รถจักรยานยนต์ให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชม. หรือรถจักรยานยนต์ที่มีกำลังเครื่องยนต์ตั้งแต่ 35 กิโลวัตต์ขึ้นไปหรือมีขนาดความจุของกระบอกสูบรวมกันตั้งแต่ 400 ลูกบาศก์เซนติเมตรขึ้นไปให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กม.ต่อชม.
รถโรงเรียนหรือรถรับส่งนักเรียนให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชม. และรถยนต์อื่นที่ไม่อยู่ในข่ายข้างต้นให้ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม.ต่อชม.
นอกจากนี้ได้กำหนดความเร็วขั้นต่ำสำหรับช่องขวาสุดของทางเดินรถในทางหลวงซึ่งแบ่งช่องเดินรถในทิศทางเดียวกันตั้งแต่ 2 ช่องทางขึ้นไปไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 100 กม./ซม. ส่วนเขตทางที่มีป้ายหรือเครื่องหมายจราจรแสดงว่าเป็นเขตอันตราย หรือเขตให้ขับรถช้า ๆ ให้ลดความเร็วลงและเพิ่มความระมัดระวังขึ้นตามสมควร
อย่างไรก็ตาม ในกรณีที่มีเครื่องหมายจราจรกำหนดอัตราความเร็วขั้นสูงต่ำกว่าที่กำหนดไว้ข้างต้น ไม่ว่าตลอดทางเดินรถหรือช่วงใดช่วงหนึ่ง ให้ผู้ขับขี่รถทุกประเภทขับไม่เกินอัตราความเร็วขั้นสูงที่กำหนดไว้ในเครื่องหมายจราจรนั้น ยกเว้นในกรณีที่ไม่สามารถปฏิบัติได้เนื่องจากมีข้อจำกัดเรื่องปริมาณรถ หรือเหตุขัดข้องอื่นอันมีเหตุผลสมควรแก่กรณี ซึ่งการกำหนดเครื่องหมายจราจรนั้นต้องแสดงให้ผู้ขับขี่เห็นได้ชัดเจนก่อนถึงทางเดินรถหรือช่วงที่กำหนด ในระยะเพียงพอที่ผู้ขับขี่จะสามารถลดความเร็วเพื่อปฏิบัติตามเครื่องหมายจราจรนั้นได้ และต้องแสดงเครื่องหมายเป็นระยะตลอดจนสิ้นสุดทางหรือช่วงที่กำหนด
อุบัติเหตุบนท้องถนนเมืองไทยติดอันดับโลก
ที่ผ่านมาองค์การอนามัยโลกหรือ WHO จัดให้ไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก มีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนปีละประมาณ 23,000 ราย คิดเป็น 32.7 คนต่อประชากร 1 แสนคน หรือมีคนไทยเสียชีวิตจากอุบัติเหตุชั่วโมงละ 3 คน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของโลกถึง 2 เท่า
อุบัติเหตุทางถนนไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้ที่ประสบภัยเท่านั้น แต่ยังก่อให้เกิดความสูญเสียต่อเศรษฐกิจและสังคมไทยโดยรวมอย่างมหาศาล ขณะที่สถาบันวิจัยทีดีอาร์ไอ ได้คำนวณมูลค่าความสูญเสียจากการเสียชีวิตและบาดเจ็บสาหัสจากอุบัติเหตุจราจร เกิดความสูญเสียที่คิดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจราว 5 แสนล้านบาทต่อปี
เว็บไซต์นิวยอร์กไทมส์ รายงานว่า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไทยได้ให้คำปฏิญาณที่องค์การสหประชาชาติในปี พ.ศ. 2558 ที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุบนท้องถนนลงครึ่งหนึ่งภายในปี พ.ศ. 2563 อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ไทยก็ยังห่างไกลจากการที่จะทำให้สัญญาที่ได้ให้ไว้เป็นจริงขึ้นได้ ถนนภายในประเทศไทยยังถูกจัดอันดับให้เป็นถนนที่อันตรายที่สุดติดอันดับโลก
ขณะที่สื่อต่างประเทศหลายสำนักระบุตรงกันว่า สิ่งหนึ่งที่รัฐบาลล้มเหลวในการดำเนินการก็คือการขจัดช่องว่างของรายได้ ขณะที่ถนนเมืองไทยถูกสร้างใหม่อย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพดีขึ้น ทำให้คนชั้นกลางที่มีจำนวนมากขึ้นสามารถขับรถด้วยความเร็วสูงกว่าเดิม การเพิกเฉยต่อกฎหมายจราจรและการบังคับใช้กฎหมายที่หย่อนหย่านได้นำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรง
ในทางกลับกัน ครอบครัวคนไทยส่วนใหญ่ในต่างจังหวัดยังมีฐานะยากจนและการขาดระบบขนส่งมวลชนที่มีคุณภาพทำให้การเดินทางสัญจรด้วยรถมอเตอร์ไซค์ขนาดเล็กเป็นเรื่องจำเป็น อันเป็นสาเหตุสำคัญของตัวเลขอุบัติเหตุถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสที่พุ่งสูง
“ไม่มีพรรคการเมืองไหนเห็นเรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ ไม่มีนายกท่านใดต้องการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง” นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช เลขาธิการมูลนิธิเมาไม่ขับให้สัมภาษณ์นิวยอร์กไทมส์ “พวกเขาแค่สัญญาว่าจะลดอัตราการเสียชีวิตบนถนนลงครึ่งหนึ่ง แม้จะรู้ว่าทำไม่ได้จริง อาจคิดว่าเราจะลืมสัญญา ที่พวกเขาเคยให้ไว้”
ภาพ: The New York Times, Reuters, The Independent, DW