Audi (อาวดี้) ประเทศไทย เผยโฉมรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด พร้อมกันทั้งหมด 2 รุ่น ได้แก่ Audi A7 Sportback 55 TFSI e รถ GT ขนาด 4 ประตูและซีดานรุ่นเรือธง A8 L TFSI e
ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ “Electrify Model” ของ Audi ประกอบด้วย e-tron คือรถยนต์ไฟฟ้า 100% ขณะที่รุ่นปลั๊กอินไฮบริดจะอยู่ภายใต้หัวข้อ "TFSI e” นั่นเอง
นายกฤษณะกร เศวตนันทน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไมซ์สเตอร์ เทคนิค จำกัด หรือ อาวดี้ ประเทศไทย กล่าวว่า Audi กำลังพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียมให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยการพัฒนา Ecosystem เต็มรูปแบบ เข้ากับประสบการณ์มากกว่า 100 ปี ในการสร้างรถยนต์ระดับพรีเมียม ที่มีสมรรถนะยอดเยี่ยมพร้อมมอบประสบการณ์การขับขี่ที่เร้าใจ
อาวดี้ยังมีแผนการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าและข่าวการเปิดตัวรถพลังงานไฟฟ้า 100% เต็มรูปแบบกว่า 10 รุ่น ออกสู่ตลาดภายในปี 2026 รวมไปถึงแผนการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องของกลุ่มรถไฟฟ้า 100% และรถปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่น
สำหรับ อาวดี้ วิสัยทัศน์ของการเป็นผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าระดับพรีเมียม (e-roadmap) นั้นเป็นมากกว่าการผลิตรถยนต์ที่มีระบบขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า แต่ถูกสะท้อนผ่านกลยุทธ์องค์กร การวางแผนการลงทุนมูลค่ากว่า 28 พันล้านยูโร (€28 billion) แผนปฏิบัติการ 360 องศา ทั้งด้านผลิตภัณฑ์ บริการรองรับ ตลอดจนสายการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ชื่นชอบรถพลังงานไฟฟ้า 100% และรถปลั๊กอินไฮบริดทุกรุ่น
มาดูกันว่า รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดทั้ง 2 รุ่นที่เปิดตัวในครั้งนี้จะมีอะไรที่น่าสนใจกันบ้าง
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S Line
Audi A8 L TFSI e ซีดานปลั๊กอินไฮบริดสุดหรู ดีไซน์โดดเด่น สปอร์ตพรีเมียม ทรงพลัง สง่างามเหนือระดับ พร้อมเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าขั้นสูง เพียบพร้อมไปด้วยฟังก์ชันนวัตกรรมระดับไฮเอนด์อย่างครบครัน
ภายในห้องโดยสารสร้างประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมในทุกการเดินทาง มีความสะดวกสบายผ่อนคลายมากขึ้น สามารถควบคุมการใช้งานภายในรถได้จากด้านหลังด้วยหน้าจอส่วนตัวพร้อมจอ OLED แบบสัมผัสขนาด 5.7 นิ้ว เบาะหลังแยกซ้ายขวาออกจากกันให้ความเป็นส่วนตัว พร้อมที่พักเท้าแบบอุ่นร้อนและฟังก์ชันนวดเท้า
นอกจากนี้ หลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ม่านบังแดดปรับไฟฟ้าสำหรับกระจกด้านหลังและกระจกข้างด้านหลังเพื่อเพิ่มความเป็นส่วนตัว ไฟอ่านหนังสือภายในแบบ Matrix LED เพื่อความสะดวกสบายในการมองเห็นภายในรถ
Electrifying experience
Audi A8 L 60 TFSI e quattro มาพร้อมโหมดขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% ทำความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. และให้ระยะการขับขี่ด้วยไฟฟ้าสูงสุด 52 กม. (มาตรฐาน WLTP) รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 kW ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง สำหรับการชาร์จด้วยไฟ 220V โดยสามารถชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มได้ภายในไม่เกิน 4 ชม.
ตัวรถมาพร้อมเครื่องยนต์ V6 3.0 TFSI ให้กำลังสูงสุด 340 แรงม้า ทำงานคู่กับระบบขับเคลื่อนมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีกำลังสูงสุดถึง 136 แรงม้า จับคู่กับระบบเกียร์ Tiptronic 8 จังหวะ ส่งกำลังไปยังล้อทั้งสี่ ผ่านระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ quattro ให้กำลังสูงสุด 462 แรงม้า มีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. ภายใน 4.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุด 250 กม./ชม. ให้อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเพียง 2.3 ลิตร/100 กม.
โหมดการขับขี่ (Driving modes)
ระบบปลั๊กอินไฮบริดของ Audi นั้นมาพร้อมกับการขับขี่ทั้งหมด 4 โหมด ได้แก่ EV Mode, Battery Hold, Battery Charge, และ Hybrid โดยทำงานร่วมกับระบบนำทาง MMI Navigation plus with MMI touch response
การชาร์จแบตเตอรี่ทำได้อย่างชาญฉลาดและปรับให้เหมาะสมต่อการขับขี่ตลอดเส้นทาง รถจะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นหลักเมื่ออยู่ในตัวเมืองที่มีจราจรแน่นหนา โดยทั่วไปแล้วระบบจะคำนวณการขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้าให้ได้มากที่สุด และใช้แบตเตอรี่ที่มีอยู่ให้หมดเมื่อถึงจุดหมายปลายทาง แต่ละโหมดจะมีรายละเอียดดังนี้
- EV Mode รถจะขับเคลื่อนด้วยระบบไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ตราบใดที่คนขับไม่เหยียบคันเร่งเกินที่กำหนดไว้
- Battery Hold ระบบจัดการการขับขี่จะรักษาความจุของแบตเตอรี่ไว้ที่ระดับปัจจุบันที่คงเหลือ เพื่อครอบคลุมระยะทางที่กำหนดในภายหลังด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบ
- Battery Charge ระบบจะจัดการการขับขี่โดยสร้างพลังงานไฟฟ้ากลับเข้าสู่แบตเตอรี่ให้มากที่สุด เพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถวางแผนการใช้งานด้วยระบบไฟฟ้าเต็มรูปแบบตามที่ต้องการได้
- Hybrid เป็นโหมดที่ถูกเปิดใช้งานโดยอัตโนมัติพร้อมกับระบบนำทาง จะเป็นทำงานร่วมกันระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาปอย่างลงตัว เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานเชื้อเพลิงให้ได้น้อยที่สุด โดยรถจะเน้นการใช้พลังงานจากมอเตอร์ไฟฟ้าเป็นหลัก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาวะการขับขี่ สถานการณ์ สภาพถนน และการขับขี่
ระบบความปลอดภัยแบบครบครัน
- ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุ (Audi pre sense basic)
- ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุด้านหลัง (Audi pre sense rear)
- ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist)
- ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning)
- ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross traffic assist)
Regenerative power ปั่นไฟกลับเข้าแบตเตอรี่อย่างชาญฉลาด
เมื่อรถมีการเคลื่อนที่แบบลอยตัว ตัวรถจะทำการชาร์จไฟกลับสู่แบตเตอรี่ด้วยระบบ Coasting Recuperation โดยระบบนี้จะสามารถคืนพลังงานไฟฟ้าให้กับรถได้มากถึง 25 kW นอกจากนั้นในขณะที่ผู้ขับขี่ทำการเบรก Audi A8 L 60 TFSI e quattro จะสามารถคืนพลังงานเข้าแบตเตอรี่ได้สูงสุดถึง 80 kW ด้วยระบบ Brake recuperation
โดยมีหน้าจอ Virtual Cockpit และระบบ MMI หน้าจอระบบสัมผัสที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถดูข้อมูลการขับขี่ได้อย่างหลากหลาย เพื่อจะได้เลือกการขับขี่ได้อย่างถูกต้อง
Audi A8 L 60 TFSI e เริ่ม 7.199 ล้านบาท
Audi A8 L 60 TFSI e quattro Prestige S line มาพร้อมกับสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้น ดีไซน์การตกแต่งของเบาะนั่งภายในดูสปอร์ตมากขึ้นด้วยลาย Diamond cut ทั้งยังเพิ่มระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มาอย่างครบครันในราคาที่ถูกลงมากกว่า 1 ล้านบาท เปิดให้จองแล้วในราคา 7,199,000 บาท
สีภายนอกมีให้เลือกไม่ว่าจะเป็น Metallic Glacier White, Metallic Mythos Black, Metallic Floret Silver และ 2 สีใหม่ Metallic Firmament Blue, Metallic District Green สีภายในห้องโดยสารมีให้เลือก 2 สี คือ Cognac Brown และ Black
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro เป็นรถยนต์ Gran Turismo 4 ประตู ขับเคลื่อนระบบขับเคลื่อนปลั๊กอินไฮบริด มาพร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro ultra technology ให้ความไดนามิกในการขับขี่ เกาะถนนได้ดีเยี่ยม
ขุมพลังปลั๊กอินไฮบริด วิ่งโหมด EV ได้ไกลสุด 69 กม.
มาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบเทอร์โบชาร์จขนาด 2.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 265 แรงม้า ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าที่ให้กำลังสูงสุด 143 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 350 นิวตันเมตร ที่ทำงานร่วมกับระบบเกียร์ S tronic 7 จังหวะ
ระบบปลั๊กอินไฮบริดยังประกอบด้วยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสามารถเก็บพลังงานได้ถึง 17.9 kWh พร้อมระบบ Recuperation ที่สร้างพลังงานไฟฟ้ากลับคืนสู่แบตเตอรี่ขณะขับขี่
เมื่อทั้งสองอย่างทำงานร่วมกัน จะให้กำลังสูงสุด 367 แรงม้า มีอัตราเร่งจาก 0 - 100 กม./ชม. เพียง 5.7 วินาที และทำความเร็วสูงสุดได้ที่ 250 กม./ชม. (ในโหมดไฟฟ้าสามารถขับเคลื่อนด้วยความเร็วสูงสุด 135 กม./ชม. และระยะทางวิ่งไกลสุด 69 กม. (ตามมาตรฐาน WLTP)
การขับขี่ของ A7 Sportback 55 TFSI e quattro ได้รับการออกแบบมาเพื่อให้สามารถขับขี่ด้วยระบบไฟฟ้าได้อย่างเต็มที่ในทุกวัน ไม่ว่าจะอยู่ในตัวเมืองหรือการเดินทางไกล ด้วยการผสมผสานระหว่างมอเตอร์ไฟฟ้าและเครื่องยนต์สันดาป
มาพร้อมโหมดการขับขี่ที่แตกต่างกันทั้ง 4 โหมด รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดนี้จึงใช้งานง่ายและเหมาะกับทุกการใช้งานในชีวิตประจำวัน
ระบบชาร์จของรถคันนี้เป็นมาตรฐานหัวชาร์จแบบ Type 2 สำหรับใช้กับเครื่องชาร์จสาธารณะ พร้อมแท่นชาร์จ Compact Charger ที่ใช้สำหรับการชาร์จไฟบ้านและอุตสาหกรรมระบบจะมีการแสดงสถานะ LED เพื่อความปลอดภัย รองรับการชาร์จไฟได้สูงสุด 7.4 kW โดยจะใช้เวลาประมาณ 2 ชม.
นอกจากนั้น สำหรับการชาร์จด้วยไฟบ้านขนาด 220V ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่เปล่าให้เต็มได้ภายในเวลาไม่เกิน 4 ชม.
รูปลักษณ์แบบสปอร์ตพร้อมชุดแต่ง S-Line
A7 Sportback 55 TFSI e quattro มีรูปลักษณ์ไดนามิก ให้สปอร์ตด้วยชุดแต่งภายนอกแบบ S line Black Edition และล้อลายใหม่ Audi Sport 5-double arm style ขนาด 20 นิ้ว พร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีแดง
ไฟหน้าแบบ HD Matrix LED พร้อมเอฟเฟกต์ไฟด้านหน้า-หลัง (Light staging) พร้อมไฟ Projector LED
ภายในมาพร้อมสัญลักษณ์ S ที่ประตูหน้า เบาะนั่งคู่หน้าหนัง Valcona แบบ Sports plus ตกแต่งด้วยลาย Diamond cut พร้อมสัญลักษณ์ S line พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันแบบสปอร์ตท้ายตัด ตกแต่งด้วยหนัง Perforated พร้อมสัญลักษณ์ S line ตกแต่งภายในด้วยลาย Dark Matte Brushed Aluminum
นอกจากนี้ ยังมีหลังคาพาโนรามิคเลื่อนเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า แป้นเบรก แป้นคันเร่ง และที่พักเท้าตกแต่งด้วย Stainless steel ภายในรถนั้นไม่ได้มีแต่ความสวยหรู แต่ยังมาพร้อมกับเทคโนโลยีที่ดีเยี่ยม เช่น ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ แยกอิสระ 4 โซน ช่อง USB-C สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า 2 ตำแหน่ง และด้านหลัง 2 ตำแหน่ง
ระบบเครื่องเสียงระดับพรีเมียม Bang & Olufsen พร้อมระบบเสียง 3 มิติ และไฟเรืองแสงในห้องโดยสารมากถึง 30 สี (Contour/ambient lighting) ระบบช่วยปรับอุณหภูมิในห้องโดยสารก่อนเริ่มการขับขี่ (Stationary air conditioning)
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line เริ่ม 4.799 - 5.099 ล้านบาท
Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ใหม่ มาพร้อมกับเทคโนโลยีปลั๊กอินไฮบริดและสมรรถนะที่ดียิ่งขึ้น ตกแต่งภายนอกด้วยดีไซน์กระจังหน้าใหม่ เสริมความสปอร์ตด้วยชุดแต่ง Black Edition และล้อลายใหม่ ทั้งยังปลอดภัยในการขับขี่มากขึ้นด้วยระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ มาให้ราคาที่คุ้มค่า ครอบครองได้ง่ายขึ้น เปิดให้จองแล้วดังนี้
- Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line ราคา 4,799,000 บาท
- Audi A7 Sportback 55 TFSI e quattro S line Black Edition ราคา 5,099,000 บาท
สีภายนอกมีให้เลือกทั้งหมด 6 สี Metallic Glacier White, Metallic Floret Silver, Metallic Mythos Black, Metallic Chronos Grey, และสีใหม่ Metallic Firmament Blue และ Metallic Grenadine Red
อ่านเพิ่มเติม: เปิดตัว 2023 Audi Q8 e-tron ไฟฟ้าล้วน ขาย 2 ตัวถัง วิ่งไกล 636 กม. เริ่ม 4.699 - 4.999 ล้าน