V.M.C (วีเอ็มซี) ชื่อนี้ กลุ่มผู้ที่ชื่นชอบรถยนต์ก็น่าจะเคยได้ยินมาบ้าง ไม่ว่าจะผู้อาวุโสที่เคยเห็นมันตอนเปิดตัว หรือจะหนุ่มสาวที่ได้ยินเรื่องราวมักจะเล่าต่อ ๆ กันไปว่า “ไทยเคยสร้างรถเป็นของตัวเอง ยี่ห้อ V.M.C แรงกว่า ทนกว่ารถกระบะยี่ห้ออื่น แต่ล้มเหลวเพราะนู่นนี่นั่น ฯลฯ น่าเสียดายถ้าได้การสนับสนุนเราอาจมีรถแบรนด์ไทย ประสบความสำเร็จขายไปทั่วโลก”
แต่เช่นเดียวกับการเล่าเรื่องของคนสูงวัย ถ้าหากคุณรู้จักตั้งคำถามสักเล็กน้อย คุณจะรู้ว่าเรื่องราวที่จำต่อกันมามันแฝงเอาไว้ด้วยอคติและการใส่สีเติมแต่งให้เกินไปกว่าความเป็นจริง หรือน้อยกว่าความเป็นจริง ตามแบบฉบับของผู้เล่า
วันนี้ บอริสจะพาท่านย้อนเวลากลับไปในช่วงยุครุ่งเรืองของประเทศไทย กลางยุค 1990 ที่ซึ่งดอกเบี้ยธนาคารสูงกว่า 10% ไม่มี PM2.5 และเพลงดนตรีไพเราะทุกเพลง ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้ แม้กระทั่งแบรนด์รถยนต์ของไทยที่ใครก็รอคอย
รถกระบะ V.M.C เปิดตัวสู่สายตาชาวไทยในปี 1995 โดยบริษัท สยาม วี.เอ็ม.ซี.ยานยนต์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งโดยการร่วมทุนของผู้ผลิตอะไหล่รถยนต์หลายราย โดยมีแม่หลักคือผู้ผลิตกระจกยานยนต์ V.M.C Safety Glass ที่ในปัจจุบันก็ยังทำกิจการอยู่ และยังคงมีรถกระบะ V.M.C เก็บไว้อยู่ในบริษัทสำหรับผู้ที่อาจจะสนใจอยากเห็นคันจริง ไปติดต่อขอชมกันเองนะครับ
รถกระบะ V.M.C ใช้พื้นฐานแชสซีแบบ Body-on-frame โดยแชสซีเป็นแบบเหล็กกล่อง ช่วงล่างด้านหน้าแบบ Double Wishbone สปริงแบบ Torsion Bar และช่วงล่างหลังคานแข็งบนแหนบ หน้าดิสก์เบรก หลังดรัมเบรก โดยพื้นฐานแล้วนี้ไม่มีความแปลกและแตกต่างจากรถกระบะทั่วไปในยุคสมัยนั้น
เครื่องยนต์เป็นแบบชนิด VM Motori VM425 รูปแบบ 4 สูบ ขนาด 2.5 ลิตร เชื้อเพลิงดีเซล พ่วงด้วยเทอร์โบชาร์จเจอร์ สร้างพละกำลังสูงสุด 117 แรงม้าที่ 4,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตันเมตร ที่ 2,200 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์ธรรมดาของ Graziano 5 จังหวะ
ในเมื่อทราบข้อมูลพื้นฐานจากการอ่านโบรชัวร์เช่นนี้แล้ว เรามาพูดถึงเรื่องน่าสนใจกว่ากันบ้าง
บอริสมีการบ้านให้ท่านทำ ท่านหยุดอ่านตรงนี้ก่อน แล้วเสิร์จกูเกิ้ลว่า “VM Motori 425OHV problem” แล้วลองดูผลลัพธ์ซัก 2-3 ชิ้นที่อยู่บนสุด
ที่ท่านควรจะทำเช่นนี้ เพราะท่านต้องเข้าใจว่า เครื่องยนต์ VM Motori 425OHV ที่ถูกนำมาใช้ใน V.M.C 2500 นั้น เป็นเครื่องที่มีปัญหามากมายในหมู่ผู้ใช้รถยนต์รุ่นอื่น ๆ ที่ใช้เครื่องยนต์ชนิดนี้
เป็นเรื่องที่ถูกต้อง ที่เครื่องยนต์ VM Motori ถูกใช้ในรถยนต์เก๋งรุ่นหรูอย่าง Alfa Romeo 164 (อัลฟ่า โรมีโอ 164) และรถ SUV อย่าง Jeep Cherokee (จี๊ป เชอโรกี) แต่นั่นก็ไม่อาจปกปิดความจริงที่ว่า ไม่ว่าจะเอาไปใส่ในรถอะไร เครื่องยนต์ตัวนี้ก็มีปัญหามากมายแม้ว่าจะวิ่งมาไม่ถึง 100,000 กิโลเมตรดี
ปัญหาหลัก ๆ นอกเหนือจากเจ้าระบบหัวฉีดอิเล็กทรอนิคที่ซับซ้อน ควบคุมด้วยระบบเร่งไฟฟ้า Drive-by-wire ซึ่งแน่นอนว่าสายเล่นรถอิตาเลี่ยน แค่ฟังก็สยองแล้ว ยังมีฝาสูบแบบแยก 4 หัว ซึ่งเพิ่มจุดต่อให้ปะเก็นแล่บจากแค่ 1 จุดเป็น 4 จุด อีกทั้งยังมีฝาสูบที่ผุง่ายมากจากวัสดุที่ไร้คุณภาพ
เมื่อบอริสเล่าเรื่องนี้ให้กับเพื่อนคนหนึ่งฟัง สิ่งที่เขาพูดตอบกลับมาก็คือ “อิตาลี่นี่มันจีนแดงแห่งยุโรปจริง ๆ”
และแน่นอนครับว่า เครื่องยนต์ VM Motori มีราคาอะไหล่แบบอิตาลี่ทั่วไปเช่นกัน หรือถ้าจะให้บอกชัด ๆ ก็คือ แพงหูฉีก และการเก็บสต๊อกอะไหล่ต่าง ๆ นั้น ลองคิดดูละกันครับว่าถ้าไปหาร้านอะไหล่ในต่างจังหวัดสักที แล้วขอซื้ออะไหล่ของเครื่องยนต์ “VM Motori 425 เครื่องรถหรูอิตาเลี่ยน” พนักงานในร้านจะตอบกลับมาอย่างไร
เราลืมกันไปแล้วหรือเปล่าว่า รถยนต์แต่ละชนิดนั้นมีจุดประสงค์ในการใช้งานที่แตกต่างกันไป? รถยนต์เก๋งเอาไว้ใช้โดยสารในความสะดวกสบาย รถยนต์สปอร์ตเอาไว้ใช้ขับขี่อย่างสนุก รถยนต์กระบะเอาไว้ใช้บรรทุกและขนของ
แน่นอนครับว่าบริษัทต่าง ๆ ทั่วโลก ย่อมพยายามที่จะทำให้การใช้งานสามารถเหลื่อมล้ำเข้าหากกันได้ เป็นเหตุผลทำให้รถกระบะสมัยนี้มีความนุ่มนวลและสะดวกสบายมากขึ้น
แต่สิ่งที่ละเลยไม่ได้ คือความทนทาน เพราะไม่ว่าท่านจะพยายามทำรถให้โดดเด่นนุ่มนวล วัสดุตกแต่งดีเสียเท่าไหร่ แต่ถ้ามันไว้ใจไม่ได้ว่าจะพาไปกินข้าวลิง และซ่อมแซมอย่างง่ายดาย รถกระบะคันนั้นมันก็ไม่มีประโยชน์อันใดเสียเลย
นอกเหนือจากนี้ ยังมีประเด็นเรื่องของงานผลิต ที่ซึ่งเราไม่อาจปฏิเสธได้ว่า บริษัท V.M.C ไม่ได้มีประสบการณ์ในการพัฒนาและผลิตรถยนต์อื่นใดมาก่อนหน้า เป็นเพียงผู้ผลิตอะไหล่เท่านั้น การพัฒนารถยนต์ทั้งคันไม่ใช่เรื่องง่าย มันคือการพัฒนาส่วนประกอบต่าง ๆ ทุกส่วนให้หลอมรวมกลายเป็นยานพาหนะที่ไม่ว่าใครต้องเข้าถึงได้
ผลลัพธ์ที่ได้ นอกเหนือจากพื้นฐานเครื่องยนต์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานแล้ว คุณภาพส่วนอื่น ๆ ของตัวรถ ก็ต่ำกว่ามาตรฐานตาม ๆ กันไปด้วย
ไม่ใช่เรื่องแปลกหรอกครับ เพราะบริษัทที่ใหญ่กว่านี้มากมาย ยังทำพลาดกันมาแล้วเลยครับ
แน่นอนว่าจากภาพอุตสาหกรรมยานยนต์ของไทยในปัจจุบัน แรงงานในทั้งภาคการผลิตและพัฒนาของไทยนั้น ก็มีคุณภาพดีพอที่จะทำให้บริษัทรถยนต์ขนาดใหญ่หลายแห่งใช้เป็นฐานการผลิตรถยนต์กระบะ และรถยนต์เก๋ง
เพียงแค่ได้รับการกำกับ ดูแลจากนายใหญ่ต่างชาติ วิศวกรชาวไทยก็สามารถรังสรรค์ผลงานโดดเด่นจำนวนมากออกมาได้ หลายท่านทราบไหมละครับ ว่าไฟหน้าของ Toyota Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) เป็นผลงานของวิศวกรชาวไทย (ซึ่งในปัจจุบันไม่ได้อยู่ที่ Toyota แล้ว อยู่ค่ายไหนเดาเอาเอง!)
รัฐบาลไทย ส่งเสริมให้เกิดอุตสาหกรรมมาตั้งแต่การทำแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 1 ในยุค 1950 ผลลัพธ์ที่ตามมา คือการเริ่มต้นลงทุนจากบริษัทต่างชาติหลายเจ้ากันในยุค 1960 ก่อนที่จะพัฒนาให้เป็นมากกว่าแค่ฐานการผลิต แต่มีส่วนของศูนย์พัฒนาอยู่แทบทุกยี่ห้อ และสร้างงาน สร้างรายได้มหาศาลให้กับคนไทยตลอดมา
ในปัจจุบัน อุตสาหกรรมยานยนต์สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยมากที่สุดเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่นทั้งหมด แม้ว่าเราจะไม่มีแบรนด์รถยนต์เป็นของตัวเองเลย
ในขณะเดียวกัน Proton (โปรตอน) ของมาเลเซีย ซึ่งเป็นแบรนด์ของตัวเอง ในประวัติอันยาวนานของพวกเขาก็ไม่ได้มีรถยนต์ที่พัฒนาเองล้วน ๆ มากเท่าไทยเสียด้วยซ้ำ สิ่งเดียวที่พวกเขามีคือชื่อของแบรนด์ซึ่งเกิดจากการสนับสนุนของรัฐที่ปิดกั้นไม่ให้รถยนต์คุณภาพดียี่ห้ออื่นมีที่ยืน จนคนมาเลเซียต้องทนซื้อ Mitsubishi Lancer Champ (มิตซูบิชิ แลนเซอร์ แชมป์) จนกระทั่งปี 2008
และถ้าหากคุณนึกไปถึงแบรนด์อย่าง Hyundai (ฮุนได) และ Kia (เกีย) ของเกาหลีใต้ ที่ประสบความสำเร็จขึ้นมาในยุค 1990 เราก็ต้องไม่ลืมว่า ไม่ว่าจะยุคใด เกาหลีใต้ก็มีศักยภาพและกำลังคนที่เหนือกว่าไทยมาโดยตลอด
รถคันแรกที่พัฒนาขึ้นมาในเกาหลีใต้ คือรถ Hyundai Pony (ฮุนได โพนี่) ซึ่งมาในปี 1975 และความแตกต่างของรถ Hyundai Pony กับกระบะ V.M.C ของไทย ก็คือการที่มันเป็นรถที่พัฒนาโดยได้บุคลากรจากบริษัทใหญ่ในอังกฤษมาช่วยเหลือ จึงสามารถใช้งานได้จริง นอกจากนั้นยังใช้เครื่องยนต์ของ Mitsubishi ที่มีความทนทานอีกด้วย
เราอาจจะเคยเห็นประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียตนาม ที่ทำรถยี่ห้อ Vinfast (วินฟาสต์) ออกมาวางจำหน่าย โดยใช้พื้นฐานของรถ BMW (บีเอ็มดับเบิ้ลยู) รุ่นก่อนหน้าไป 1 ยุค เครื่องยนต์ก็เป็นของ BMW และมันดูสวยงามน่าสนใจเป็นอย่างมาก และถ้าคุณจะเอามาเปรียบเทียบกับประเทศไทยในตอนนี้ก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก เวียตนามทำได้ ทำไมไทยทำไม่ได้?
คำตอบก็คือ ไทยทำไปแล้วครับ พวกเราส่งออกรถไปทั่วโลกในจำนวนที่เยอะกว่าเวียตนามและมาเลเซีย สิ่งเดียวที่เรามีไม่เหมือนเขา ก็คือแบรนด์ของไทยเอง
Proton ในปัจจุบันใช้พื้นฐานของ Geely และ Vinfast ก็ไม่มีรถที่ใช้พื้นฐานของตัวเองเลย ถ้าให้ผมเลือก ผมขอเลือกอุตสาหกรรมที่มีการสรรค์สร้างแบบไม่ได้ชื่อของตัวเอง มากกว่าอุตสาหกรรมที่มีแต่ชื่อแต่ไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยดีกว่าครับ
แบรนด์รถยนต์ใหม่ ๆ ทั่วโลกที่เกิดขึ้นมานับตั้งแต่ยุค 1950 มีเป้าประสงค์เดียวคือการส่งออกไปยังประเทศอื่น ๆ ให้ติดตลาดและขายดีทั่วโลก มันคือหนทางการสร้างดุลการค้าที่ใหญ่โต
แต่การที่จะส่งรถออกไปขายทั่วโลกได้ ต้องเกิดจากมันสมองของคนหลายส่วนมาก และถ้าหากวางแผนไม่ดีพอ บริษัททุนไม่หนาพอ สิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คงหนีไม่พ้นการล้มละลาย หรือการถูกฮุบกิจการไปโดยบริษัทต่างชาติ
ถ้าเราอยากภาคภูมิใจในความเป็นไทยมากพอ การที่รถ Toyota Hilux (โตโยต้า ไฮลักซ์) ซึ่งถูกใช้ขับไปยังขั้วโลกเหนือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์นั้น ถูกผลิตขึ้นในประเทศไทย แค่นั้นยังไม่พออีกเหรอครับ? ก็คงจะใช่ ถ้าหากเรายึดติดอยู่แค่กับการที่รถคันนั้นติดแบรนด์ Toyota และไม่ใช่แบรนด์รถยนต์ของไทยเอง
รถกระบะ V.M.C ถ้าหากถามว่า เราควรจะภาคภูมิใจเจ้ากระบะเจ้าปัญหา ที่โผล่มาในปี 1995 แล้วก็ตายไปเพราะพิษเศรษฐกิจ 1997 นี่ไหม? หลายท่านอาจจะคิดว่าบอริสจะปฏิเสธ แต่แท้จริงแล้ว เราก็ควรจะภูมิใจอยู่บ้างครับ
เพราะรถกระบะ V.M.C แม้ว่าจะไม่ประสบความสำเร็จ มาผิดที่ ผิดเวลา ผิดจุดประสงค์ และใช้ชิ้นส่วนผิด แต่สิ่งหนึ่งที่รถในตำนานรุ่นนี้บอกกับเรา ก็คือ คนไทยนั้นมีศักยภาพมากพอที่จะรังสรรค์รถของตัวเองออกมาจริง ๆ เพราะอย่างไรก็ตามเราปฏิเสธไม่ได้ว่ามันใช้พื้นฐานและชิ้นส่วนที่พัฒนาเองเกือบทั้งหมด
แค่น่าเสียดายไปนิด ที่สุดท้าย ศักยภาพอันสูงส่งนี้ของคนไทย ก็ต้องพึ่งพาเงินทุน การควบคุมกำกับดูแล และชื่อชั้นของต่างชาติให้ประสบความสำเร็จ
แต่สุดท้ายก็สำเร็จไม่ใช่หรือ? หรือคุณจะเถียงรถจำนวนกว่า 1 ล้านคันที่ถูกผลิตขึ้นมาในประเทศนี้ในปี 2020?
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}