หลังจากประสบความสำเร็จด้วยการดึงผู้ประกอบการมากหน้าหลายตามาลงทุนในกิจการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ (BEV) ทำให้ประเทศไทยกลายเป็นหนึ่งในผู้นำและฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่ของภูมิภาคนี้ ช่วยเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยอย่างมาก
แต่จากการแข่งขันที่รุนแรงและรวดเร็วของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงที่ว่องไวของเทคโนโลยีในอุตสาหกรรมยานยนต์โลก ทำให้มีการประเมินว่ารถยนต์ที่ใช้เทคโนโลยีที่เหนือกว่าบีอีวี อาจจะถูกแนะนำในตลาดโลกเช่นกันในอนาคตอันใกล้นี้
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ บีโอไอ ได้ออกมาระบุว่า เพื่อให้สามารถแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ ในเรื่องการดึงเม็ดเงินลงทุนจากผู้ประกอบการ พวกเขาเตรียมเสนอแพคเกจการลงทุนใหม่สำหรับเทคโนโลยีไฮเทค ซึ่งจะแลกกับการยกเว้นการเก็บภาษีนานถึง 13 ปี
นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการบีโอไอ ออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ ว่าบอร์ดบีโอไอได้เห็นชอบแผนการส่งเสริมการลงทุนใหม่ ที่ต่อยอดจากอุตสาหกรรมไฮเทคไปอีกขั้น เพื่อแลกกับมาตรการยกเว้นภาษีดังกล่าว โดยได้มีการระบุถึงผลิตภัณฑ์ อาทิ กิจการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าเซลล์เชื้อเพลิง (FCEV) กิจการผลิตอุปกรณ์สำหรับเซลล์เชื้อเพลิง รวมถึงกิจการสถานีบริการสับเปลี่ยนแบตเตอรี่ (Battery Swapping Station) นอกจากนี้ ก็จะเป็นกิจการไฮเทคอื่น ๆ เช่น การผลิตไฮโดรเจนจากน้ำโดยใช้พลังงานหมุนเวียน การผลิตพลังงานไฟฟ้าจากไฮโดนเจน หรืออุตสาหกรรมอวกาศ เป็นต้น
ทั้งนี้ มาตรการยกเว้นภาษีนาน 13 ปี ถือเป็นมาตรการสนับสนุนการลงทุนที่นานที่สุดเท่าที่บีโอไอเคยให้ โดยมองว่าเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ และเป็นการแข่งขันกับเวียดนาม ที่ให้สิทธิประโยชน์ 15 ปี แบบขั้นบันได ซึ่งมองว่าจะเหมาะสมกับการดึงเทคโนโลยีระดับสูงดังกล่าวเข้ามาในประเทศไทยในอนาคต ซึ่งคาดว่ามาตรการนี้จะสามารถประกาศใช้ได้ในช่วงต้นปี 2566 เป็นต้นไป
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}