ฟังก์ชั่นและอุปกรณ์ในรถสมัยเก่า ที่มาก่อนกาล เคยล้มเหลวไปก่อนในอดีต และถูกรื้อฟื้นมาอีกครั้ง ที่ยังได้รับความนิยมจนถึงทุกวันนี้ มีทั้งหมด 10 อย่างที่สำคัญ พร้อมตัวอย่างรถที่เคยมีจริงในประวัติศาสตร์
เป็นความจริงที่ผู้ขับขี่รถยนต์เมื่อ 30 ปีที่แล้ว อาจนึกไม่ออกว่าจะเป็นอย่างไร หากรถที่มีคอมพิวเตอร์พกพา ขับเป็นเวลาหลายชั่วโมงโดยไม่ต้องสัมผัสพวงมาลัย หรือเครื่องมือนำทางที่ฉายบนกระจกหน้ารถ อุปกรณ์มากมายหลายอย่างที่เราคิดว่าเป็นนวัตกรรมใหม่ จริง ๆ แล้วมันเคยได้รับการทดลองใช้เมื่อหลายปีก่อน และล้มเหลวไปแล้ว แต่ปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้ามาไกล ทำให้แนวคิดเหล่านั้นจึงได้รับการรื้อฟื้นกลับมาใช้ใหม่ และนี่คือคุณสมบัติของรถ 10 อย่างที่มาก่อนกาล
เทอร์โบชาร์จ
รถรุ่นปัจจุบันใช้เทอร์โบอย่างแพร่หลาย เพราะเทคโนโลยีปัจจุบันทำให้สร้างกำลังได้ในวสดุที่พัฒนาขึ้น แต่ก่อนหน้านี้เคยมีกลุ่ม General Motors เคยทดลองไปแล้วในรถ Oldmsobile F-85 Jetfire และ Chevy Corvair Monza ในยุค 60 อย่างเป็นทางการ และในยุคนั้นยังมีหลายผู้ผลิตชิ้นส่วนรายย่อยทดลองทำอีกด้วย แต่ก็ล้มเลิกกันไป
เทอร์โบมันกลับมาอีกครั้ง ในกลางยุค 70 เริ่มต้นกับ 1974 BMW 2002 Turbo และ 1975 Porsche 911 Turbo ที่สร้างชื่อเสียงสุด ๆ ส่วนเทอร์โบในเครื่องดีเซลก็เริ่มด้วย 1978 Mercedes-Benz 300SD อันเป็นต้นแบบให้เกิดกระแสการใช้ระบบอัดอากาศแพร่หลายในยุค 80 เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
ไฟหน้าอัตโนมัติ
รถสมัยใหม่มีไฟหน้าอัตโนมัติ ที่สามารถเปิดไฟต่ำเมื่อแสงน้อย สามารถเบนแสงออกได้เองเมื่อพวงมาลัยเลี้ยว และปรับไปสูง-ต่ำลงได้เอง เมื่อมีรถสวนทางมา เพื่อป้องกันแสงแยงตาคันอื่น ๆ แต่ระบบนี้เคยมีใช้แล้วในสมัยก่อน
ไฟหน้าเลี้ยวได้เริ่มต้นเป็นอุปกรณ์ประจำรถ Tucker Torpedo ในปี 1948 โดยเป็นไฟดวงเดียวอยู่ตรงกลางที่เลี้ยวได้เท่านั้น ต่อมาได้พัฒนาให้ฝังอยู่ในโคมไฟหน้าทั้ง 2 ฝั่งในรถ 1955 Citroen DS แต่มันมีกลไกที่ซับซ้อน ทำให้ซ่อมบำรุงยาก จึงไม่ถูกใช้ในรุ่นต่อมา
ส่วนระบบไฟหน้าอัตโนมัติ เคยมีมาแล้วในรถ Cadillac ปี 1952 กับระบบ Autronic Eye ที่มีแท่งรับแสงคอยตรวจจับรถที่ผ่านมา แล้วคอยปรับลดไฟหน้ารถตัวเองได้ แต่เนื่องจากมีความผันผวนของตัวรับแสง ทำให้ไฟหน้าหรี่แสงได้ล่าช้าไม่ทันใจ จึงไม่มีใครใช้มัน
เครื่องแปรผันลูกสูบ
รถยนต์ต้องการเพียงเศษเสี้ยวของกำลังขับสูงสุด เพื่อความเหมาะสมในขณะเดินทางไกล ดังนั้นการปิดจำนวนลูกสูบเครื่องยนต์ครึ่งหนึ่งเมื่อไม่ต้องการ จึงดูเหมือนเป็นความคิดที่ดี และถ้าคุณเคยขับ Audi ขนาดเล็กสมัยใหม่, Ford Fiesta ST รุ่นปัจจุบัน หรือ Dodge หรือ Jeep ที่ใช้เครื่องยนต์ 5.7 Hemi คุณจะรู้ว่ามันลื่นไหลอย่างน่าประหลาดใจ
ในอดีตก็มีรถ Cadillac V8-6-4 ปี 1981 ซึ่งความคิดเอาชนะวิกฤตการณ์น้ำมันแพงครั้งที่สอง นั้นขาดความน่าเชื่อถือของอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ในการทำให้ระบบมีความถูกต้องแม่นยำ แต่ภายใน 2 ทศวรรษต่อมาเทคโนโลยีก็กลับมาและในที่สุด
กันชนสีเดียวกับตัวรถ
รถยนต์สมัยใหม่มักจะมีกันชนสีเรียบ ๆ เฉดเดียวกับตัวรถ เป็นเทรนด์การออกแบบที่อุตสาหกรรมยอมรับในช่วงกลางปี 1990 และทำให้ทุกอย่างที่สร้างขึ้นก่อนหน้านี้ดูล้าสมัยในทันที เว้นแต่ว่าพวกเขากำลังพยายามทำให้ดูเหมือนรถออฟโรดที่แข็งแกร่ง จึงจะเป็นกันชนพลาสติกสีดำ
แต่หลายคนไม่รู้ว่า เทรนด์กันชนสีเดียวกับตัวรถ มีมาก่อนหน้านี้แล้ว ด้วยรถ Pontiac GTO ปรากฏตัวขึ้นในปลายปี 1967 กับกันชน Endura ต่อมาในปี 1973 ถูกนำมาใช้ใน Chevrolet Corvette และลามมาในค่ายยุโรปครั้งแรกกับ Porsche 928 ในปี 1978 มาก่อนใคร
ระบบเลี้ยว 4 ล้อ
การบังคับเลี้ยวแบบ 4 ล้อเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นที่คลั่งไคล้เทคโนโลยีในช่วงทศวรรษ 1980 ซึ่งเคยใช้กับรถยนต์อย่าง Honda Prelude และ Mazda 626 นอกจากนี้ Nissan Skyline GT-R ยังใช้ระบบบังคับเลี้ยวแบบเพลาล้อหลังในปี 1989 ยาวต่อเนื่องถึงช่วงทศวรรษ 1990 แล้วเทคโนโลยีจะเริ่มไม่เป็นที่โปรดปรานของผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นในเวลาต่อมา และสุดท้าย Nissan ได้ยกเลิกฟีเจอร์ดังกล่าวไปพร้อมกับการสูญพันธุ์ R34 Skyline เมื่อ R35 GT-R ปรากฏในปี 2550 มันบังคับโดยใช้ล้อหน้าเท่านั้น แต่ที่น่าแปลกคือ ผู้ผลิตรถยนต์รายอื่นเริ่มค้นพบข้อดีอีกครั้ง เริ่มต้นด้วย Mercedes-Benz S-Class รุ่นล่าสุด
รถยนต์ไฟฟ้า
ในขณะที่เราเข้าใกล้ช่วงทศวรรษ 2030 เครื่องยนต์สันดาปถูกกีดกัน เพื่อเป็นทางเลือกไฟฟ้าที่สะอาดกว่าและเงียบกว่า แต่สงครามที่คล้ายคลึงกันนี้เคยเกิดขึ้นในช่วงปลายทศวรรษ 1890 และต้นทศวรรษ 1900 และในสมัยนั้น พลังงานไฟฟ้าก็ถูกบังคับให้ยอมจำนน แม้ว่ารถที่ใช้น้ำมันในยุคแรกๆ มีเสียงดัง เหม็นอับ อันตราย สตาร์ทยาก และต้องดูแลบ่อยครั้ง แต่เครื่องสันดาปยังดีกว่าระบบไฟฟ้าสมัยนั้น ด้วยความเบากว่า ถูกกว่า และแบตเตอรี่กรดตะกั่วในสมัยนั้นไม่สามารถเก็บพลังงานได้มากเมื่อเทียบกับน้ำหนักที่เพิ่มเข้าไป
การเปิดตัวสตาร์ทเตอร์ไฟฟ้าเป็นแรงผลักดันสำคัญให้รถยนต์สันดาปแจ้งเกิด แต่ในปี 2022 ด้วยการพัฒนาเทคโนโลยีแบตเตอรี่ และความกังวลเกี่ยวกับสภาพอากาศ ที่กระตุ้นให้รัฐบาลหันมาต่อต้านการใช้พลังงานจากการเผาไหม้ การปฏิวัติ EV ก็กลับมาอยู่ในกระแสอีกครั้ง เพียงแค่ช้ากว่าที่วางแผนไว้เพียง 100 ปีเท่านั้น
หน้าปัดดิจิตัล
จอแสดงผลอินโฟเทนเมนท์ขนาดใหญ่ ได้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของคอนโซลกลาง และแผงหน้าปัดกลางของรถในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา และตอนนี้รถใหม่เกือบทุกคันที่ออกมายังมีจอแสดงผลดิจิตอลสำรองแทนแผงหน้าปัดแบบอะนาล็อกแบบดั้งเดิม บางรุ่น เช่น Mercedes EQS ครอบคลุมแผงหน้าปัดทั้งหมดด้วยจอแสดงผลดิจิทัล
แผงหน้าปัดดิจิทัลเริ่มเปิดตัวครั้งแรกในปี 1980 แต่ส่วนใหญ่เลิกทำภายในสิ้นทศวรรษนั้น แทนที่ด้วยอะนาล็อก อย่างไรก็ตาม กลุ่มมาตรวัดดิจิทัลกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง และคราวนี้จะไม่ใช่แค่เพียงหน้าจอสัมผัสส่วนกลางคอนโซล โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนนี้ Apple CarPlay จะถูกรวมเข้ากับหน้าปัดเร็ว ๆ นี้
อ่านเพิ่มเติม : วิจัยเผย การใช้หน้าจออินโฟเทนเมนท์อาจทำให้รบกวนการขับขี่ มากกว่าช่วยให้สบายเสียอีก
รถพูดได้
ฟังก์ชั่นนี้มาพร้อมกับหน้าปัดยุคดิจิทัลในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เนื่องจากกระแสที่มีชื่อเสียงที่สุดของทีวี KITT จาก Knight Rider ซึ่งมันไม่เคยถูกใช้ในรถวางขายทั่วไปเลย แต่รถทุกวันนี้ดีขึ้นมาก ตั้งแต่มีการติดตั้งระบบอินโฟเทนเม้นท์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมี Google Assistant ในตัว เพราะรถของคุณไม่เพียงแต่พูดกับคุณเท่านั้น แต่ยังรับฟังด้วย แม้มันแทบไม่เคยเข้าใจสิ่งที่ฉันจะพูดเลยก็ตาม
อ่านเพิ่มเติม : รถญี่ปุ่น 5 รุ่นที่มาก่อนกาล เทคโนโลยีใช้งานในคันจริงก่อนใคร ชาติอื่นยังต้องทำตาม
ที่เก็บของหน้ารถ
EV ได้ปฏิวัติวิธีการเติมน้ำมันของเรา รวมถึงวิธีการใส่สัมภาระด้วย จากเดิมแทนที่จะเปิดฝากระโปรงหลัง เราอาจพลิกฝากระโปรงหน้าและวางกระเป๋าไว้ได้แล้วในตอนนี้ เพราะการทิ้งมอเตอร์สันดาปมักจะช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บสัมภาระที่มีประโยชน์ ดังที่เห็นใน Ford F-150 Lightning รุ่นใหม่
ฝากระโปรงหน้าเก็บของได้ เคยอยู่กับผู้ขับขี่รถยนต์หลายล้านคน Volkswagen Beetle ติดตั้งเครื่องยนต์ไว้ที่ด้านหลัง รวมถึงรถยนต์เครื่องวางท้ายหลายรุ่นในยุคเดียวกัน ซึ่งสร้างประสบการณ์หน้าลอย-หนักท้าย กับการเกาะถนนแบบเสี่ยงดวงตามมาด้วย โชคดีที่การวางสมดุลย์แบบเดิมนั้น ไม่ได้ตามในยุค 2020 ด้วย
อ่านเพิ่มเติม : รวม 5 รถมือสองอายุ 20 ปีที่มาก่อนกาล มีออพชั่นล้ำสุด นำเทรนด์หลายอย่าง ยังมีใช้จนถึงปัจจุบัน
เครื่องยนต์โรตารี่
จาก Citroën ถึง Mercedes ผู้ผลิตส่วนใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 ต่างตื่นเต้นกับเครื่องยนต์โรตารี่ที่ลื่นไหลสุดๆ ของ Felix Wankel ในขณะที่ Benz ไม่เคยผลิตรถสักคัน ส่วนยี่ห้อ NSU ก็ทำได้รุ่นหนึ่ง เช่นเดียวกับ Citroën ทำออกมาขายด้วย แม้ว่าในไม่ช้าบริษัทฝรั่งเศสนี้พยายามซื้อคืนและบดขยี้ GS Birotor ทุกเครื่องที่ขายได้
มีเพียงมาสด้าเท่านั้นที่อดทน แม้ว่า RX-8 จะสูญพันธุ์ในปี 2010 เนื่องจากไม่สามารถปฏิบัติตามมาตรฐานการปล่อยมลพิษยูโร 5 ได้ แต่ดูเหมือนว่าโรตารีกำลังจะกลับมาอีกครั้ง โดยจะปรับปรุงจุดอ่อนให้กลายเป็นเครื่องปั่นไฟให้กับ Mazda MX-30 ซึ่งยืนยันแล้วว่าจะมาในปีนี้
ความสนุกของการก้าวหน้าทางเทคโนโลยี คือการรื้อฟื้นจินตนาการของคนรุ่นก่อน ที่เคยล้มเหลวไว้ นำมาปรับปรุงใหม่ให้เป็นจริง คืนชีพให้สิ่งที่คิดว่าเป็นจุดอ่อน ขึ้นมาใช้งานให้เป็นประโชน์ในปัจจุบัน มันน่าทึ่งมากใช่มั้ยล่ะ ?
อ่านเพิ่มเติม : 2022 Mazda MX-30 EV รถยนต์ไฟฟ้าพ่วงขุมพลังโรตารี่ที่ควรขายเมืองไทย