2022 Ford Everest เปิดตัวแล้วอย่างเป็นทางการพร้อมรูปโฉมที่ดูบึกบึนกว่าเดิม ซึ่งมาในแนวคิดที่คล้ายกับ 2022 Ford Ranger คือ “เสียงของลูกค้าสู่การออกแบบ” โดยรวบรวมเสียงจากความต้องการของลูกค้าทั่วโลกเพื่อออกมาเป็น Ford Everest เจเนอเรชั่นใหม่นี้
แนวคิดของการออกแบบ คือต้องการให้ตัวรถสะท้อนถึงสมรรถนะ มีความแข็งแกร่ง พร้อมลุยไปในทุกที่ และมีภายในที่ดูปราณีตขึ้น พร้อมมีเทคโนโลยีและความปลอดภัยที่ครบครัน
หน้าตาที่ดุดันมากขึ้น
ภายในเต็มไปด้วยความเอนกประสงค์
เทคโนโลยีมีมาให้ครบครัน
เครื่องยนต์เหมือนเดิม เพิ่มเติม 3.0 V6 และ 2.3 Ecoboost
ลุยออฟโรดได้ง่ายขึ้น
เพิ่มระบบ Active Safety
หน้าตาที่ดุดันมากขึ้น
นอกจากแนวคิดของการออกแบบ การเพิ่มระยะฐานล้อที่กว้างและระยะระหว่างล้อหน้าและหลังที่เพิ่มขึ้นทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูล้ำสมัยและบึกบึนมากขึ้น
ไฟหน้าใหม่รูปตัว C แบบใหม่และลายเส้นบนกระจังหน้า ส่วนหน้าของรถมีการผสมผสานขององค์ประกอบทั้งแนวตั้งและแนวนอน สื่อถึงเสถียรภาพในการขับขี่
เส้นด้านข้างทำให้ตัวถังดูสะดุดตา ฐานล้อที่กว้างทำให้ซุ้มล้อใหญ่โดดเด่นขึ้น เพิ่มความแข็งแกร่งและทันสมัยให้กับรถ
ด้านหลังที่ปรับปรุงใหม่ให้ดูดีมากขึ้น ด้วยกระจกหลังแบบใหม่ที่เพิ่มมุมและแสงอาทิตย์ รวมถึงไฟท้ายแบบ LED ที่มีเส้นเชื่อมฝั่งซ้าย-ขวาตามสมัยนิยม
ในส่วนของหลังคาที่รองรับทุกกิจกรรมผจญภัย โดยในตอนที่รถหยุดนิ่งสามารถรับน้ำหนักได้ถึง 350 กก. เหมาะกับการตั้งแคมป์ และรองรับได้กว่า 100 กก. ขณะรถเคลื่อนที่ พร้อมจุดยึดที่รองรับการใช้งานหลากหลายเหมาะสำหรับการติดตั้งหรือใช้อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ
ภายในเต็มไปด้วยความเอนกประสงค์
ภายในที่ลูกค้าต้องการนั้นต่างจากภายนอกที่แข็งแกร่งโดยสิ้นเชิง เพราะภายในจะมีความสะดวกสบาย หรูหรา และปราณีตมากขึ้น ทั้งจากวัสดุตกแต่งและไฟที่สร้างบรรยากาศในทุกส่วน
การออกแบบภายในทำให้พื้นที่กว้างขึ้นในขณะที่มิติตัวรถยังใกล้เคียงเดิม มีการเพิ่มพื้นที่เก็บของ พื้นที่วางแก้ว การรองรับที่ชาร์จไร้สาย เบรคมือไฟฟ้า เบาะคนขับปรับไฟฟ้า 10 ทิศทาง และเบาะข้างคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง
เบาะนั่งแถวที่ 2 สามารถปรับอุณหภูมิได้และพับแบบ 60:40 การเข้า-ออกเบาะแถว 3 ทำได้ง่ายขึ้น รวมถึงการแถวสามที่สบายขึ้นจากกระจกด้านหลังที่ทำให้โปร่ง และที่เก็บของที่มีมากขึ้น เบาะแถวที่ 2 และ 3 ยังพับได้แบนราบเพื่อการบรรทุกสัมภาระขนาดใหญ่ได้ นอกจากนี้ ยังมีที่ชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เพียงพอกับทั้ง 7 ที่นั่ง 3 แถวอีกด้วย
ทีมออกแบบคิดค้นวิธีการป้องกันไม่ให้ของตกเมื่อเปิดประตูท้ายรถ โดยสร้างขอบเล็กๆ ที่เรียกว่า “จุดดักแอปเปิ้ล” (Apple catcher) บริเวณด้านหลังของที่เก็บสัมภาระ และยังมีที่เก็บของใต้พื้นรถเพื่อความเป็นระเบียบของห้องโดยสาร
จุดดักแอปเปิ้ล
เทคโนโลยีมีมาให้ครบครัน
เทคโนโลยีภายในห้องโดยสารของฟอร์ด เอเวอเรสต์ เจเนอเรชันใหม่ มาด้วยแผงหน้าปัดดิจิทัลขนาด 8 หรือ 12.4 นิ้วขึ้นอยู่กับแต่ละรุ่นย่อย และยังมีหน้าจอแบบสัมผัสตรงกลางขนาด 10.1 หรือ 12 นิ้ว อีกด้วย
หน้าจอดังกล่าวมาพร้อมระบบเชื่อมต่อการสื่อสาร SYNC® 4A พร้อมรองรับการสั่งงานด้วยเสียง ควบคุมอุปกรณ์เพื่อความบันเทิง และเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ รวมถึงการติดตั้งการเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันฟอร์ดพาส (FordPass™) เพื่อสามารถควบคุมการสตาร์ทรถจากระยะไกล รวมถึงตรวจเช็คสถานะต่างๆ ของรถ และการล็อค-ปลดล็อคผ่านโทรศัพท์มือถือ
หน้าจอทัชสกรีนแนวตั้งตรงกลางยังเชื่อมต่อกับกล้อง 360 องศา เพื่อให้จอดรถได้สะดวกยิ่งขึ้นในพื้นที่แคบ หรือช่วยเหลือผู้ขับขี่ในการเดินทางบนสภาพเส้นทางออฟโรด
เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร V6
เครื่องยนต์เหมือนเดิม เพิ่มเติม V6 และ Ecoboost
ในเอเวอร์เรสท์เจเนอเรชั่นนี้ไฮไลต์คือเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 3.0 ลิตร V6 สาเหตุที่นำมาใช้กับเอเวอร์เรสต์เพราะเป็นเสียงจากลูกค้า ส่วนตลาดเมืองไทยจะได้เครื่องยนต์นี้หรือไม่ต้องคอยติดตาม
ส่วนเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบเดี่ยวและเทอร์โบคู่ขนาด 2.0 ลิตรก็ยังเป็นตัวเลือกอยู่เช่นเดิม แต่ได้มีการปรับปรุงการทำงานเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น
และในปี 2566 จะมีเครื่องยนต์ Ecoboost ขนาด 2.3 ลิตรเพิ่มเข้ามา ซึ่งจะแตกต่างกับ 2.3 ของ Mustang ตรงที่จะเหมาะกับการขับขี่แบบออฟโรดมากกว่า และยังต้องติดตามกันว่าเครื่องยนต์ตัวนี้จะเข้าไทยด้วยไหม
ระบบส่งกำลังมีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 10 สปีดแบบซีเล็กทีฟที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
ในด้านอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ทีมวิศวกรตอบว่าใกล้เคียงกับเครื่องยนต์ที่มีอยู่ในตลาดแน่นอน
ลุยออฟโรดได้ง่ายขึ้น
ด้วยฐานล้อที่กว้างขึ้น 50 มิลลิเมตร ทำให้การควบคุมบนถนนดีขึ้น ในขณะที่การปรับแต่งโช้คอัพใหม่ช่วยเพิ่มความสนุกในการขับขี่และช่วยให้การควบคุมรถง่ายขึ้น ไม่ว่าจะในเมืองและนอกเมือง
เอเวอร์เรสต์ใหม่ มีตัวเลือกระบบการขับขี่ 4 ล้อ 2 รูปแบบ วัสดุป้องกันช่วงล่าง โหมดการขับขี่ออฟโรดที่หลากหลาย เฟืองท้ายแบบ Locking Rear Differential ตะขอคู่หน้า และช่องต่อพ่วงอุปกรณ์ออฟโรด Upfitter Switch
ระบบการขับขี่ 4 ล้อทั้ง 2 รูปแบบ ประกอบด้วย เกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ พร้อมการเปลี่ยนโหมดการขับขี่ขณะรถเคลื่อนที่ด้วยระบบไฟฟ้า (Electronic Shift-On-The-Fly) หรือเรียกว่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบพาร์ทไทม์
กับระบบขับเคลื่อน 4 ล้อที่มาพร้อมเทคโนโลยีขั้นสูงแบบฟูลไทม์ ที่มาพร้อมเกียร์ทรานสเฟอร์แบบ 2 จังหวะ (On-Demand Two-Speed Electromechanical transfer case - EMTC) ควบคุมด้วยไฟฟ้าพร้อมโหมดการขับขี่ที่เลือกใช้งานให้เหมาะกับสภาพถนนได้
และในบางประเทศ เอเวอเรสต์ ยังมาพร้อมตัวเลือกระบบการขับเคลื่อนแบบ 2 ล้อด้วย
หน้าจอแสดงผลสำหรับการขับขี่แบบออฟโรดในเอเวอร์เรสต์ แสดงผลข้อมูลเกี่ยวกับรถและสภาพเส้นทางด้านหน้าจากกล้องหน้าพร้อมกับแนวเส้นกะระยะ เพียงกดปุ่มเพียงปุ่มเดียว ผู้ขับขี่สามารถเลือกดูข้อมูลได้ครบครัน
เอเวอร์เรสต์ เจเนอเรชันใหม่ ยังสามารถลุยน้ำได้สูงสุดถึง 800 มิลลิเมตร และมีความสามารถในการลากจูงถึง 3,500 กิโลกรัม (พร้อมเบรก) ขณะที่ห้องเครื่องมีพื้นที่เพียงพอสำหรับแบตเตอรี่สำรองอีกลูก เพื่อส่งมอบพลังให้กับอุปกรณ์เสริม
เพิ่มระบบ Active Safety
ฟอร์ด เอเวอเรสต์ อัดแน่นด้วยเทคโนโลยีช่วยการขับขี่และอุปกรณ์ปกป้องความปลอดภัยที่ได้รับการพัฒนาไปอีกขั้น เพื่อมอบความสบายใจและช่วยให้ผู้ขับขี่มีสมาธิมากขึ้น
เริ่มต้นจากถุงลมนิรภัยใหม่ติดตั้งระหว่างผู้ขับและผู้โดยสารด้านหน้า เพิ่มการป้องกันในกรณีที่มีการชนจากด้านข้าง ทำให้เอเวอเรสต์มาพร้อมถุงลมนิรภัยสูงสุดถึง 9 ตำแหน่ง และครอบคลุมถึงที่นั่ง 3 แถว ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่จำหน่าย
ตำแหน่งของถุงลมนิรภัย
ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ 2.0 ช่วยให้ผู้ขับขี่จอดรถในพื้นที่แคบได้อย่างปลอดภัย ระบบจะช่วยบังคับพวงมาลัย ปรับเกียร์ เร่งความเร็วและเบรกในการจอดรถแบบขนานหรือเข้าช่องจอดได้อย่างง่ายดาย และระบบจะนำรถออกจากที่จอดรถแบบขนานเมื่อได้รับคำสั่ง
ไฟหน้าแบบเมทริกซ์ แอลอีดี ที่มีในบางรุ่นและบางประเทศ มอบทัศนวิสัยที่ดียิ่งขึ้นด้วยคุณสมบัติต่าง ๆ ได้แก่ ระบบปรับระดับแสงไฟตามความเร็วอัตโนมัติที่ปรับความสว่างของแสงไฟด้านหน้าตามระดับความเร็วของรถ
นอกจากนี้ ไฟหน้ายังมาพร้อมความสามารถในการปรับแสงตามการเลี้ยวทั้งขณะจอดนิ่งและเคลื่อนที่ ไปจนถึงไฟสูงแบบป้องกันแสงสะท้อน เพิ่มความปลอดภัยแก่ผู้ขับขี่และไม่รบกวนผู้ใช้ถนนคนอื่น
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติใหม่ในฟอร์ด เอเวอเรสต์ มีทั้งหมด 3 แบบ ขึ้นอยู่กับรุ่นและประเทศที่วางจำหน่าย ประกอบด้วย
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go (Adaptive cruise control with stop and go)
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัตโนมัติพร้อมฟังก์ชัน Stop and Go และควบคุมรถให้อยู่กลางช่องทาง (Adaptive cruise control with stop and go and lane centering)
ระบบควบคุมความเร็วแบบรักษาระยะห่างอัจฉริยะ (Intelligent adaptive cruise control) อ่านป้ายจราจรและปรับความเร็วอัตโนมัติตามที่กำหนดได้
ระบบตรวจจับรถในจุดบอดครอบคลุมส่วนต่อพ่วง
นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีช่วยในการขับขี่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นไปอีกขั้น ประกอบด้วย
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางผสานระบบตรวจจับขอบถนน (Lane-keeping system with road-edge detection)
ระบบช่วยหักพวงมาลัยเพื่อเลี่ยงการปะทะ (Evasive steer assist) ออกแบบให้ทำงานขณะขับขี่ในเมืองหรือบนทางด่วน โดยใช้เรดาร์และกล้องตรวจจับรถที่ขับด้วยความเร็วต่ำหรือหยุดนิ่งด้านหน้า และส่งแรงช่วยผู้ขับขี่บังคับพวงมาลัยหลบเพื่อลดความเสี่ยงจากการชน
ระบบช่วยหยุดรถอัตโนมัติขณะถอยหลัง (Reverse brake assist) ช่วยให้ถอยหลังเพื่อเข้าซองจอดหรือจอดในพื้นที่แคบๆ ด้วยการเตือนด้วยเสียงและภาพ
ระบบตรวจจับรถในจุดบอดครอบคลุมส่วนต่อพ่วง (Blind spot information system with trailer coverage)
ระบบป้องกันการชนเพื่อป้องกันการชนบริเวณทางแยก (Pre-collision assist with intersection functionality)
อ่านเพิ่มเติม : 2023 Ford Ranger Raptor เปิดตัวเบนซิน V6 3.0 ลิตรเกือบ 400 แรงม้า กับออพชั่นที่ไม่เคยมีมาก่อน