สิ้นสุดการรอคอยของคอรถเอสยูวี 2023 Honda CR-V (2023 ฮอนด้า ซีอาร์-วี) เปิดตัวครั้งแรกที่งานบางกอก มอเตอร์โชว์ รอให้คนสนใจได้เยี่ยมชมกันอย่างใกล้ชิดและจับจองกันตามอัธยาศัย
ปฏิเสธไม่ได้ว่า CR-V เป็นรถเอสยูวีของ Honda ที่ครองใจลูกค้าชาวไทยมาเนิ่นนานหลายทศวรรษ ด้วยความอเนกประสงค์และขนาดตัวถังที่ค่อนข้างใหญ่ จึงตอบโจทย์คนที่มองหารถที่ใช้งานได้ทุกทุกรูปแบบทั้งในเมืองและนอกเมือง เหมาะสำหรับทั้งหนุ่ม-สาวโสดและคนมีครอบครัวสามารถเป็นเจ้าของได้อย่างไม่เคอะเขิน
การตอบสนองความต้องการที่หลากหลายคือสิ่งที่บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัดต้องการสานต่อไว้ในรุ่นใหม่ พวกเขาจึงกำหนดรุ่นย่อยมาให้เลือกถึง 5 รุ่น พร้อมกับมีอ็อปชั่นหลากหลายเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าให้ได้มากที่สุด และยังเป็นการสกัดขาคู่แข่งไปในตัวด้วย เราไปดูกันว่า 5 จุดเด่นของ 2023 Honda CR-V มีอะไรบ้าง
อ่านเพิ่มเติม: 2023 Honda CR-V เปิดตัว 5 รุ่นย่อย พร้อม 2 ขุมพลัง อัดอ็อปชั่น เคาะเริ่ม 1.419 ล้านบาท
1. รุ่นย่อยหลากหลาย
ตามที่เรียนไว้ข้างต้น 2023 Honda CR-V มีการใส่อ็อปชั่นเข้ามาหลากหลาย มีทั้งรุ่น 5 ที่นั่งและ 7 ที่นั่ง มีขุมพลังขับเคลื่อนแบบไฮบริดและเครื่องยนต์เทอร์โบดั้งเดิม อีกทั้งยังมีระบบขับเคลื่อน 2 ล้อและขับเคลื่อน 4 ล้ออัตโนมัติ ซึ่งถือว่าครบเครื่องเลยทีเดียว
ราคาจำหน่ายยังถูกกำหนดอย่างแยบยล เครื่องยนต์เทอร์โบ มาพร้อม 3 รุ่นย่อย เริ่มต้นที่รุ่น E 5 ที่นั่ง ราคา 1,419,000 บาท รุ่น ES 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,599,000 บาท และรุ่นท็อปเบนซิน EL 4WD 7 ที่นั่ง ราคา 1,649,000 บาท
ขณะที่ระบบฟูลไฮบริด e:HEV มาพร้อม 2 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น e:HEV ES 5 ที่นั่ง ราคา 1,589,000 บาท และรุ่นท็อปสุด e:HEV RS 4WD 5 ที่นั่ง ราคา 1,729,000 บาท เรียกได้ว่าสามารถเลือกช็อปได้ตามใจชอบ
2. โดดเด่นต่างจากคู่แข่ง
ต่อเนื่องจากจุดแข็งข้อแรก คนที่ลังเลจะซื้อรถเอสยูวีจากจีนอาจต้องมีชะงัก เมื่อ Honda นำเสนอรุ่นเบาะโดยสาร 7 ที่นั่งมาให้ด้วยซึ่งไม่มีในรถคู่แข่ง ทั้ง Haval H6, Mazda CX-5 และ MG HS
โดยรุ่นท็อปเบนซิน EL 4WD มาพร้อมเบาะด้านหลังแถวที่ 3 ที่ปรับพับได้เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้ายในขณะที่ผู้โดยสารแถว 2 สามารถนั่งได้อย่างสะดวกสบาย นอกจากนี้ปรับพับเบาะทั้งแถวที่ 2 และ 3 ลงแนวราบ (Utility Mode) เพื่อเพิ่มพื้นที่สัมภาระด้านท้าย และสามารถปรับพับเบาะด้านหน้าและด้านหลังทั้งแถวที่ 2 และ 3 (Long Mode) เพื่อเพิ่มพื้นที่เก็บของในแนวยาว อีกทั้งยังมีช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถวที่ 3 อีกด้วย
ความแข็งแกร่งของแบรนด์ Honda ยังทำให้พวกเขามั่นใจในการกำหนดราคาที่สูงกว่าคู่แข่งพอสมควร และเชื่อว่ายังสร้างความเชื่อมั่นให้ลูกค้าได้อย่างเต็มที่
3. อ็อปชั่นใหม่เพียบ
คนที่เลือกไฮบริดรุ่นท็อป e:HEV RS 4WD จะได้ใช้อุปกรณ์อำนวยความสะดวกแบบจุก ๆ เริ่มจากระบบควบคุมประตูแบบอัจฉริยะ พร้อม Honda Smart Key Card ระบบฟอกอากาศภายในห้องโดยสาร Plasmacluster ระบบปรับอากาศอัตโนมัติแบบปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย/ขวา แบบ i-Dual Zone
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีฟังก์ชั่นการแสดงผล Head-up Display: HUD ระบบเครื่องเสียง BOSE พร้อมลำโพง 12 ตำแหน่ง ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ ระบบช่วยชะลอความเร็วรถที่พวงมาลัย (Deceleration Paddle Selectors) และระบบไฟหน้า LED อัจฉริยะ (Adaptive Driving Beam: ADB) ช่วยเพิ่มทัศนวิสัยในเวลากลางคืนและปรับองศาของแสงไฟเพื่อลดการรบกวนรถด้านหน้าและคนเดินถนน
4. ความปลอดภัยอุ่นใจได้
2023 Honda CR-V ทุกรุ่นย่อยมาพร้อมแพ็คเกจ Honda SENSING ได้แก่ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน พร้อมระบบปรับความเร็วตามรถยนต์คันหน้าที่ความเร็วต่ำ ระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ และ ระบบเตือนเมื่อรถคันหน้าเคลื่อนที่
นอกจากนี้ยังมี ระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน และระบบช่วยเตือนความเหนื่อยล้าขณะขับขี่
5. รุ่นฟูลไฮบริด e:HEV เช็คระยะฟรีค่าแรง 5 ปี
สำหรับคนที่เลือก 2023 Honda CR-V e:HEV ทั้งรุ่นท็อปและรองท็อปจะได้รับแคมเปญพิเศษ ฟรีค่าแรงในการเช็กระยะตามตารางการบำรุงรักษาเป็นเวลา 5 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) รับประกันอายุการใช้งานแบตเตอรี่ไฮบริด 10 ปี และรับประกันระบบไฮบริดทั้งระบบ 5 ปี ไม่จำกัดระยะทาง
ส่วนรุ่นอื่น ๆ มีโปรแกรมการให้บริการพิเศษด้านคุณภาพรถยนต์ ฮอนด้า อัลติเมท แคร์ (Honda Ultimate Care) ขยายการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่โดยเพิ่มระยะเวลาอีก 2 ปี หรือระยะทาง 40,000 กิโลเมตร ต่อจากระยะเวลาหรือระยะทางการรับประกันคุณภาพรถยนต์ใหม่ 3 ปี หรือ 100,000 กิโลเมตรแรกสิ้นสุดลง รวมสูงสุด 5 ปี หรือ 140,000 กิโลเมตร (อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อน) และบริการช่วยเหลือฉุกเฉินนอกสถานที่ 24 ชั่วโมง