รีวิว MG VS HEV (เอ็มจี วีเอส เอชอีวี) รุ่นใหม่ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัว กับระบบไฮบริดที่ฉีกทุกความเชือเดิม ว่าเป็นขุมพลังที่เน้นประหยัด ให้ความเรียบร้อยและดูน่าเบื่อ เมื่อมาเจอรถรุ่นนี้กลายเป็นว่า มีแต่ความสปอร์ตอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เพียงแค่รูปลักษณ์ แต่เพียบด้วยสมรรถนะสมคำโฆษณาเอาไว้จริง
ตลาดรถยนต์กลุ่ม B-SUV มีคู่แข่งเยอะมาก และกำลังจะเป็นเทรนด์ใหม่ที่เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยความที่มีส่วนสูงมากกว่ารถเก๋ง ทำให้ดูโดดเด่นและทัศวิสัยดี รวมถึงความสามารถในการลุยข้ามสิ่งกีดขวางได้ด้วย เหมาะสำหรับคนที่มีงบหลักแสนอยากได้รถสูงใหญ่ แต่ไม่ชอบรถกระบะดีเซลเสียงดังและอันยาวเทอะทะเกินไป และไม่ชอบรถเก๋งที่เตี้ยลาด ก็ได้เกิดทางเลือกของประเภทรถใหม่เมื่อไม่นานมานี้ เป็นรถสูงที่ขนาดกะทัดรัดราคาไม่แพง ซึ่งรถที่เคยเป็นผู้ปลุกกระแสเทรนด์รถกลุ่มนี้ได้แก่ MG ZS ที่เปิดตัวเมื่อปี 2017 อันเป็นรุ่นปูทางให้ค่ายอื่น ๆ ขยับมาขายเซกเมนต์นี้จนเกลื่อนตลาดในปัจจุบัน
กลายเป็นไฮบริดกันหมด
นอกจากกระแสรถประเภท B-SUV กำลังมาแรงแล้ว ก็มีอีกกระแสในวงการยานยนต์ที่มาแรงเช่นกันในตอนนี้ นั่นคือระบบลูกผสมเบนซินกับไฟฟ้า ชื่อไฮบริดนี้อยู่ในไทยประมาณ 1 ทศวรรษแล้วในรถหรู แต่เริ่มแพร่หลายจริง ๆ ในยุคนี้ ซึ่งมีหลากหลายยี่ห้อและรุ่นให้เลือก ที่ปัจจุบันมีราคาต่ำล้านให้ซื้อแล้ว ดังนั้นกลุ่ม B-SUV ก็กลายเป็นขุมพลังไฮบริดกันหลายรุ่น เพราะได้ภาพลักษณ์ความประหยัดน้ำมัน ความทันสมัย และได้รักษาสิ่งแวดล้อม เสมือนเป็นคนดีในโลกยานยนต์
ระบบไฮบริดที่สะสมชื่อเสียงด้านการเป็นคนดีดังกล่าว รวมถึงการเป็นเทคโนโลยีมีราคาแพง จึงต้องจับกลุ่มลูกค้างบเยอะ และมีการออกแบบในแนวหรูหราเอาใจเศรษฐี ดังนั้นรถไฮบริดในยุคทศวรรษแรกจึงมีรูปทรงแบบซีดานขนาดใหญ่ ตกแต่งสไตล์ภูมิฐาน ตรงข้ามกับความสปอร์ตทุกอย่าง ทำให้เกิดเป็นภาพจำว่ารถไฮบริดไม่น่าตื่นเต้น ถูกตีตราว่ามีดีไซน์สำหรับผู้ใหญ่
แต่ในทศวรรษนี้เริ่มมีการลบภาพจำนั้นแล้ว ตั้งแต่การออกรถ MG HS PHEV มาในแนวสปอร์ตแม้ยังติดหรูหราอยู่บ้าง จนกระทั่งปัจจุบันนี้มีรถ MG VS HEV ได้เน้นความสปอร์ต และชูจุดขายใหม่ของระบบไฮบริดอย่างชัดเจน
ด้านหน้าที่ล้ำสุด
2022 MG VS HEV รุ่นใหม่หมดจรด แม้จะใช้พื้นฐานโครงสร้างจาก MG ZS (เอ็มจี แซดเอส) แต่นอกเหนือจากนั้นมีชิ้นส่วนต่างกันมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเปลี่ยนด้านหน้าใหม่หมดจรด มีดีไซน์แบบซ่อนกระจังหน้าด้วยรูปทรงเหลี่ยมเพชรสีเดียวกับตัวรถแบบไร้กรอบ อันเป็นธีมการออกแบบอย่างที่รถยนต์ไฟฟ้ากำลังนิยมใช้กัน
นอกจากนี้ยังมีไฟหน้ายังมีดีไซน์ใหม่ มาพร้อมกับแถบดำเชื่อมต่อระหว่างไฟหน้า กับเส้นสีฟ้าที่ตกแต่งให้เป็นสัญลักษณ์ของระบบไฟฟ้า ซึ่งสร้างความแตกต่างจากรุ่น ZS ให้ความสปอร์ต โดยไร้ชิ้นส่วนโครเมียมออกไปอย่างสิ้นเชิง ส่วนแผงพลาสติกมุมกันชนนั้น ยังมีช่องดักลมให้ทะลุผ่านได้จริง ไม่ใช่แผ่นทึบตัน ช่วยทำให้เรียงกระแสลมได้ดี มีความลู่ลมกว่าเดิม
งานเปลี่ยนชิ้นส่วนด้านหน้าทั้งหมดนี้ นับเป็นแผนการพัฒนารถที่มาถูกทาง เพราะทำให้เจ้าของรถ MG VS HEV นี้ได้รับความภูมิใจว่าตนเองแตกต่างจากรุ่นเบนซินตั้งแต่แรกเห็น ส่วนรุ่นท็อปสุดได้จุดเด่นเพิ่มตรงพาโนรามิคซันรูฟ กับหลังคาทูโทนสีดำ เป็นการทำสีหลังคาแท้จากโรงงาน ไม่ใช่การแรปสติ๊กเกอร์
ด้วยหน้าตาภายนอก MG VS HEV ก็เป็นเครื่องสร้างความภูมิใจให้เจ้าของแล้ว เมื่อเปิดประตูเข้ามาภายในยังพบกับคอนโซลที่ใหม่หมดจรด สร้างความแตกต่างจากรุ่นสันดาปอย่างที่ซื้อเปลี่ยนทดแทนกันไม่ได้ คอนโซลใหม่นี้เป็นทรงตั้งชันรับกับแผ่นกระจกสีดำเงาแนวนอนยาว ซึ่งฝังหน้าจอขนาด 12.3 นิ้วจำนวน 2 จออยู่ในกระจกผืนเดียวกัน มีแป้นสัมผัสแยกออกจากจอกลาง ประกอบด้วยแผงปรับอากาศ เปิด-ปิดไล่ฝ้า และปุ่มย้อยกลับหน้าแรก ซึ่งตอบสนองการแตะนิ้วทันทีที่สัมผัส
การตกแต่งทำด้วยแผงสีเงินด้าน ให้วัสดุโฟมนุ่มมือที่ส่วนบน กับบุนวมนิ่มที่วางแขนตรงประตูตั้งแต่รุ่นเริ่มต้น ทำให้มีความรู้สึกพรีเมี่ยมโดยไม่ต้องจ่ายแพง ส่วนรุ่นท็อปจะมีทางเลือกเพิ่มด้วยเบาะหนังสีทูโทนขาว-ดำ ทำให้รู้สึกโล่งตาไปอีก
ท่านั่งและการปรับค่า
หลังจากเราปรับเบาะไฟฟ้าให้เข้าสรีระแล้ว ก็พบว่ายังน่าเสียดายที่พวงมาลัยปรับเข้าออกไม่ได้ กับเข็มขัดนิรภัยยังปรับสูงต่ำไม่ได้ พบว่ามีท่านั่งแบบขาซ้ายแนบกับคอนโซลแป้นเกียร์พอดีสำหรับคนสูง 165 อย่างเหมาะเจาะ แต่ถ้าคนสูงระดับเกินมาตรฐานชายไทย อาจจะรู้สึกอึดอัดที่โดนคอนโซลกลางบีบเข้า โดยไม่มีนวมนิ่มรองรับตรงขอบด้านข้างขาซ้ายนี้
การปรับตั้งค่าการขับขี่ มีดีตรงที่ให้ปุ่มแยกออกมาจากหน้าจอสัมผัส สามารถปรับตั้งโหมดการขับขี่ Eco, Comfort, Sport มีปุ่มตั้งค่าการชาร์จกลับ KERS ได้ 3 ความหน่วง พ่วงด้วยปุ่มออโต้โฮลด์, ปุ่มควบคุมการลงเนิน, กล้อง 360 องศา และระบบควบคุมการลื่นไถล ทั้งหมดนี้สามารถกดแยกได้อิสระจากข้างแป้นเกียร์ ทำให้มีความสะดวกในการใช้งานกว่าการตั้งค่าในจอสัมผัส
MG VS HEV มีกำลัง 177 แรงม้า บนน้ำหนักตัวเฉลี่ย 8.2 กิโลกรัม/แรงม้า ซึ่งจัดว่าเป็นสัดส่วนอยู่ในย่านรถสปอร์ตระดับเริ่มต้นแล้ว ยิ่งมีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเป็นต้นกำลัง ปล่อยแรงบิดทั้ง 200 นิวตันเมตรลงล้อทันทีแบบไม่รอรอบเครื่อง ทำให้เรียกเสียงเอี๊ยดอ๊าดจากยางได้เล็กน้อย แม้กดคันเร่งแค่ครึ่งเดียว และหากกดคันเร่งเต็มที่เมื่อออกตัวจาก 0-100 กม./ชม. ใช้เวลาเพียง 8.5 วินาทีในโหมด Sport นี่เป็นรสชาติของความแรงหลังติดเบาะ เทียบเท่าเครื่องสันดาปน้ำมันล้วนระดับ 1.5 ลิตรติดเทอร์โบ หรือเครื่อง 2.0 หายใจเอง แต่มีอัตราการกินน้ำมันน้อยกว่า
การขับในครั้งนี้ ใช้เส้นทางรวมทุกสถานการณ์ ตั้งแต่การติดไฟแดงแบบในเมืองตอนแรก จนถึงการขึ้นทางหลวงระหว่างจังหวัดด้วยความเร็วลอยตัว 110 กม./ชม. มีการติดขัดตมด่านเก็บเงิน และใช้พลังเร่งแซงรถบรรทุกหลายครั้ง รวมแล้วมีระยะทางไป-กลับเกือบ 200 กม. ขับแบบไม่ต้องเกร็งคันเร่ง เพื่อให้ได้ตัวเลขประหยัดเชื้อเพลิงเยอะ ๆ หรือไม่จุ่มคันเร่งแรงมากไป จนทำใหตัวเลขกินน้ำมันเกินการใช้งานจริง
ความประหยัดน้ำมันของแต่ละคน มีน้ำหนักไม่เท่ากัน เพราะหลายคนอาจจะยังติดภาพว่า ระบบไฮบริดต้องประหยัดมาก แต่เมื่อคิดว่า รถรุ่นนี้มีกำลัง 177 แรงม้า อยู่ระดับเดียวกับเครื่องสันดาป 2.0 ลิตรโดยทั่วไป และสามารถขับคนเดียวให้ความประหยัดได้ถึง 17 กม./ล. หรือโดยสารแบบ 3 คนขับแบบไม่ปั้นแต่งตัวเลขให้ดูดี ก็จะพบว่าได้ 15 กม./ล. คือตัวเลขจากการใช้งานจริงอ้างอิงจากการแสดงผลบนหน้าจอรถ ซึ่งคุณจะไม่สามารถทำได้ในเครื่องสันดาประดับแรงม้าเดียวกัน
ช่วงล่างแน่นขึ้น
ระหว่างการขับ เราพบว่ามีความหนึบแน่นของช่วงล่างในทางตรง รูดคอสะพานได้อย่างไม่เป๋ ท้ายรถไม่ยุบตัวจนเสียสมดุลย์ แมว่าจะมีผู้โดยสารรวมคนขับ 3 คนแล้ว นั่นหมายความว่ารถรุ่นนี้ถูกปรับจูนโช้คอัพใหม่ รับกับน้ำหนักรถที่เพิ่มขึ้นจากรุ่น ZS พื้นฐานเดิม ทำให้ลดความดีดเด้งออกไปอย่างชัดเจน
นอกจากนี้การลองขับยังได้ปิดพื้นที่ กั้นกรวยเป็นสนามทดสอบการเข้าโค้งแบบต่าง ๆ ทั้งสลาลอม การเปลี่ยนเลนกะทันหัน ก็ยังสามารถยัดเข้าไปได้ที่ความเร็ว 60 กม./ชม. นอกจากนี้เรายังลองเข้าโค้งมุมแคบจำลองแบบโค้งลงทางด่วน ซึ่งรถรุ่นนี้สามารถยัดเข้าไปได้ถึง 70 กม./ชม. หรือแม้แต่เราลองขับมาเร็วเกิน 70 แล้วรถเกิดอาการหน้าแถ ก็จะมีระบบช่วยเบรคขณะเข้าโค้ง ทำงานแทรกเข้ามาช่วยให้ความเร็วพอดีกับโค้งดังกล่าว ซึ่งสร้างความมั่นใจมาก แม้ว่าการยุบตัวของช่วงล่างจะมีอยู่บ้าง ตามแรงหนีศูนย์กลาง
สามารถจอดเกียร์ว่างได้ แต่ว่า…
ระหว่างการลองขับ เราได้ทดลองใช้งานเหมือนการจอดรถจริงในที่จอดรถหลายแห่ง กับสถานการณ์จำเป็นต้องจอดซ้อนคัน ทำให้เราต้องปลดเกียร์ว่างเพื่อการเข็น ซึ่งแป้นเกียร์แบบสวิตช์ไฟฟ้าแต่ละยี่ห้อ มักจะมีวิธีการเข้าเกียร์ N หลังจากดับเครื่องต่างจากเกียร์ออโต้แบบก้านเลื่อนเดิม ไม่เว้นแม้แต่ MG VS รุ่นใหม่นี้ ที่มีวิธีเข้าเกียร์ว่างแบบใหม่ โดยหลังจากกดปุ่มดับเครื่องแล้ว ไม่ต้องใส่เบรคมือ ให้คุณกดปุ่ม P บนหัวเกียร์ติดต่อกัน 3 ครั้งแล้วจะขึ้นรูปภาพแนะนำให้โยกปุ่มเกียร์ลงมา 1 ครั้ง ก็จะเปลี่ยนตำแหน่งสวิตช์เกียร์จาก P มา N ให้สามารถเข็นรถได้ในการจอดซ้อนคัน นับเป็นวิธีที่ไม่ยาก แต่ก็ไม่ง่ายแบบปุ่มกดทั่วไป เจ้าของรถต้องรู้เอาไว้
จากการลองขับ MG VS HEV ทั้งรุ่นย่อยเริ่มต้น กับรุ่นท็อปสุดแล้ว ก็พบว่าเราพอใจในรุ่น D เริ่มต้นที่ราคา 859,000 บาท ซึ่งมีภายนอกต่างกันแค่สีทูโทน และช่องซันรูฟที่หลังคาเท่านั้น ส่วนรุ่นท็อปราคา 919,000 บาทก็ยังไม่มีระบบ Adaptive Cruise Control กับระบบ ADAS ช่วยเบรคอัตโนมัติแต่อย่างใด ดังนั้นถ้าพอใจกับถุงลม 4 ใบ ไม่มีชาร์จมือถือไร้สาย กับกล้องรอบทิศทาง ก็ซื้อรุ่น D ได้เลยครับ ครบถ้วนพร้อมใช้แล้ว
2022 MG VS HEV นับเป็น B-SUV ตัวแรกที่ขับแล้วได้รับความสปอร์ตครบ ทั้งหน้าตาอย่างเฟี้ยว และสมรรถนะอย่างฟาสต์ ซึ่งนี่เป็นการเอาเทรนด์ของยานยนต์ในอนาคต นำมาให้ได้ใช้กันก่อนใครในตอนนี้ แล้วไฮบริดจะสร้างภาพจำให้เป็นระบบเค้นเชื้อเพลิงจนมีสมรรถนะที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ
อ่านเพิ่มเติม : เปิดราคา 2022 MG VS HEV ไฮบริดออพชั่นหายไป แต่เอาใจสายประหยัดด้วยราคา 8.59 - 9.19 แสน
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}