ในคราวก่อนมีคำคาดการณ์ถึงบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าตลาดอันดับที่ 3 ของโลกว่าจะเป็นผู้ผลิตรถยนต์จากจีนอย่าง BYD (บีวายดี) แล้ววันนี้ก็มาถึงจริง ๆ แต่เพราะอะไรกันนะ?
- อันดับ 3 ของโลกอย่างเป็นทางการ
- สถานการณ์โลกไม่มีผล
- มีธุรกิจครบวงจร
- หาก BYD ทำตลาดทั่วโลกอาจมีอันดับสูงกว่านี้
อันดับ 3 ของโลกอย่างเป็นทางการ
ใครที่ยังลังเลว่าบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่าอันดับที่ 3 ของโลกอาจจะเป็น Volkswagen (โฟล์คสวาเกน) หรือ Toyota (โตโยต้า) อาจคิดผิด ในตอนนี้ Tesla (เทสล่า) มีมูลค่าในตลาดมากที่สุด แต่ไม่ถึง 1 ล้านล้านดอลล่าร์แล้ว ส่วนอันดับที่ 3 ที่จะพูดถึงเป็นบริษัทที่เราคิดไม่ถึง นั่นก็คือ BYD
ด้วยราคาหุ้นที่แตะ 42.92 ดอลล่าร์ ทำให้ BYD มีมูลค่าถึง 1.14 แสนล้านดอลล่าร์ ทำให้ Volkswagen ตกไปอยู่อันดับที่ 4 ในมูลค่า 1.06 แสนล้านดอลล่าร์ ส่วนอันดับที่ 2 ครองโดยผู้ผลิตรถจากแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง Toyota ที่มีมูลค่ากว่า 2.21 แสนล้านดอลล่าร์ ซึ่งมากกว่า Volkswagen และ BYD รวมกันเสียอีก
สาเหตุของมูลค่าที่สูงขึ้นของ BYD ไม่ได้มีอะไรที่ซับซ้อน เป็นเหตุจากรถรุ่นล่าสุดของค่ายอย่าง BYD Seal ที่มียอดขายกว่า 22,637 คันภายในเวลาน้อยกว่า 6 ชั่วโมงหลังจากเปิดจอง สำหรับยอดขายดังกล่าว BYD ได้เผยว่าเท่ากับกำลังการผลิตสี่เดือนแรกในช่วงเริ่มต้นนี้
อุปสรรคไม่มีผล
สิ่งเดียวที่อาจเป็นอุปสรรคต่อข่าวดีของผู้ผลิตรถสัญชาติจีนในครั้งนี้คือการระงับการผลิตที่โรงงานในเมืองฉางซาเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา
จากการรายงานของสำนักข่าว CLS ระบุว่า ผู้ที่พักอาศัยบริเวณโดยรอบโรงงานดังกล่าวได้ร้องเรียนเกี่ยวกับอาการเลือดกำเดาไหล คลื่นไส้อาเจียน ไอเรื้อรัง และวิงเวียนศีรษะ ซึ่งรัฐบาลท้องถิ่นได้รับทราบและกำลังสอบสวน และ BYD ตัดสินใจที่จะระงับการผลิตไปก่อนเพื่อทำการแก้ไขให้ถูกต้อง
ปัญหาดังกล่าวไม่ได้ส่งผลกระทบต่อ BYD เท่าไหร่ ไม่เหมือนกับปัญหาของ Tesla ที่เกี่ยวข้องกับโรงงาน Giga Shanghai เพราะ BYD ยังสามารถผลิตรถที่โรงงานแห่งอื่นได้อยู่
สำหรับรถรุ่นต่าง ๆ ที่ยังผลิตได้ ได้แก่ e2, e3, Destroyer 05, Qin Plus DM-i, Song MAX DM-i, Yuan Pro, รวมถึงรถบัสไฟฟ้าอย่าง K series โดยทั้งหมดนี้นับว่ามากกว่า 50% ของรถที่ผลิตในโรงงานที่เมืองฉางซาเลยทีเดียว (ไม่นับรถบัส)
อ่านเพิ่มเติม : BYD Dolphin คันจริงครั้งแรกในไทย
ธุรกิจครบวงจร
นอกจากการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าและรถปลั๊กอินไฮบริดแล้ว BYD ยังขึ้นชื่อในด้านการทำธุรกิจแบบแนวตั้ง หรือการควบคุมสายการผลิตตั้งแต่ต้นจนจบ เพราะผู้ผลิตรถจากจีนสามารถผลิตได้ตั้งแต่ชิปเซมิคอนดักเตอร์ แบตเตอรี่ ส่วนประกอบต่าง ๆ ไปจนถึงผลิตหน้ากากอนามัยซึ่งใช้ในช่วงวิกฤตโรคระบาดโควิด-19 ทั่วโลก
ในสภาพของอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบัน BYD ไม่จำเป็นต้องรอชิ้นส่วนจากซัพพลายเออร์ที่ใดเลย สิ่งที่ต้องทำคือการเพิ่มกำลังการผลิต ด้วยแพลทฟอร์มของบริษัท e-platform 3.0, Blade Battery ไปจนถึงไลน์อัพของรถยนต์ไฟฟ้าที่น่าสนใจของค่าย
หาก BYD ทำตลาดทั่วโลกอาจมีอันดับสูงกว่านี้ในอนาคต
ข้อจำกัดเพียงอย่างเดียวของบริษัทนี้คือต้องขยายตลาดให้กว้างขึ้น ด้วยเหตุนี้ BYD จึงกลายเป็นบริษัทรถที่มีมูลค่าสูงสุดเป็นอันดับ 3 ของโลก และจะไม่แปลกใจหากในอนาคตจะอยู่ในอันดับที่สูงกว่านี้
ในตอนนี้ BYD เพิ่งเริ่มในการทำตลาดนอกประเทศจีนอย่างจริงจัง โดยเริ่มในออสเตรเลียด้วยเอสยูวีไฟฟ้าอย่าง BYD Yuan Plus และจะมีการร่วมมือกับบริษัทไทยเพื่อตั้งโรงงานผลิตที่ไทยในอนาคตอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม : BYD Seal อีวีคันนี้มีอะไรดีถึงการันตีด้วยยอดจองกว่า 22,000 คันในเวลาเพียง 6 ชั่วโมง!?