รถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี จะเป็นยานยนต์แห่งโลกอนาคตอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะแนวทางที่ทุกค่ายรถยนต์ต่างมุ่งหน้าไป ไม่มีรายใดบอกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะไม่เกิด เพียงแต่จะเกิดขึ้นช้าหรือเร็วนั้น ต้องขึ้นกับความพร้อมและเทคโนโลยีของแต่ละแบรนด์
หลาย ๆ ครั้งการเป็นผู้นำในตลาดก็ถือเป็นเรื่อดี แต่กับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้านั้น ไม่สามารถตอบได้ว่าการเป็นผู้นำ หรือการเป็นผู้ตามเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมจะเป็นเรื่องที่ดีกว่ากัน เมื่อมีการสรุปตัวเลขค่าเสียหายที่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าต้องจ่ายไปก่อน
เมื่อเป็นเทคโนโลยีการผลิตใหม่และการใช้งานที่หลากหลายทำให้ผู้บริโภคเองก็อาจจะไม่เข้าใจถึงรถยนต์รูปแบบใหม่ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่ที่ยังไม่มีความพร้อม ก็ย่อมก่อให้เกิดปัญหาตามมา และแน่นอนว่าทุกปัญหานั้นมีราคาที่ต้องจ่ายอยู่
ตั้งแต่ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างรถยนต์สตาร์ทไม่ติด แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟ ไปจนถึงเรื่องร้ายแรงอย่างไฟไหม้รถยนต์ที่ทำให้ต้องมีการเรียกคืนรถหลายต่อหลายรุ่น มีรายงานว่าค่ายรถยนต์ไฟฟ้าเหล่านี้ มีการจ่ายค่าเสียหายไปกับรถไฟฟ้ามหาศาล
เพื่อแลกกับการเป็นผู้นำในท้องตลาด ที่นำเสนอนวัตกรรมใหม่ ๆ ให้กับผู้บริโภค ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ซีเอ็นบีซีได้รวบรวมเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตของรถยนต์ไฟฟ้า และพบว่ามูลค่าของการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นนั้น ถือว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าโดนกันโดยถ้วนหน้า
ปัญหาของรถยนต์ไฟฟ้าที่เกิดจากการใช้งานนั้นมีอย่างหลากหลาย ไปตั้งแต่การเกิดไฟไหม้รถแบบหาสาเหตุไม่ได้ ปัญหาเรื่องการใช้พลังงานในรถ ความยุ่งยากในการสตาร์ทรถยนต์หรือการชาร์จไฟให้กับรถยนต์ ซึ่งมีความรุนแรงลดหลั่นกันลงไป
Chevrolet Bolt (เชฟโรเลต โบลต์) รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นบุกเบิกของค่ายเชฟวี่ ถูกเรียกคืนด้วยปัญหาความบกพร่องจากการผลิตที่เกิดขึ้นได้ยาก 2 รายการ แต่ทำให้เกิดค่าเสียหายถึง 800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 2.63 หมื่นล้านบาท) เรียกว่าไม่ธรรมดาเลย
Porsche Taycan ซูเปอร์คาร์ไฟฟ้าก็เคยถูกเรียกคืนจากปัญหาความผิดปกติของซอฟท์แวร์ที่ทำให้รถเสียพละกำลังขณะขับขี่ ขณะที่ Ford (ฟอร์ด) นั้นเคยมีการเรียกคืนมัสเซิลคาร์อย่าง Ford Mach-E (ฟอร์ด มัค-อี) มาแล้ว แต่ก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากนัก
เมื่อเทียบกับการเรียกคืนมูลค่า 400 ล้านเหรียญสหรัฐ (1.32 หมื่นล้านบาท) ของ Ford Kuga PHEV (ฟอร์ด คูก้า พีเอชอีวี) หรือแม้แต่ Hyundai (ฮุนได) ที่เรียกคืน Hyundai Kona (ฮุนได โคน่า) และจ่ายเงินไป 900 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.29 หมื่นล้านบาท)
หรือแม้แต่เจ้าพ่อรถไฟฟ้าอย่าง Tesla (เทสล่า) เองก็ไม่รอด เมื่อพวกเขาต้องจ่ายเงินกว่า 1.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (49.9 ล้านบาท) เพื่อยุติปัญหาทางกฎหมาย ทำให้พวกเขาต้องอัพเกรดซอฟท์แวร์ให้กับลด เพื่อป้องกันการอาจเกิดไฟไหม้แบตเตอรี่
นอกจากนี้ พวกเขายังต้องจ่ายอีก 163 ล้านเหรียญ (5.36 พันล้านบาท) จากการที่แบตเตอรี่ในรถยนต์นั้นมีสมรรรถนะที่ลดลงไปมากกว่าครึ่งหนึ่งหลังการใช้งานไปเพียง 6 ปี และพวกเขาปฏิเสธที่จะไม่เปลี่ยนแบตเตอรี่ให้ภายใต้เงื่อนไขการรับประกัน
ของใหม่ก็มีปัญหาเสมอ แต่เริ่มก่อนก็จะแก้ได้ก่อน
ขณะที่มีหลาย ๆ คนเริ่มมองว่าปัญหาของการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้าที่เป็นเรื่องใหม่และยังไม่มีการแก้ไขที่ดีนั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากการติดตั้งนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้าไปให้กับตัวรถมากมาย เช่น ระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ที่ก่ออุบัติเหตุที่รุนแรงหลายครั้ง
ไม่มีการตัดสินว่าใครเป็นฝ่ายผิดหรือถูก 100% เพราะคนที่ตัดสินใจเดินหน้าก่อน ก็ต้องแบกรับปัญหาที่มากกว่าอยู่แล้ว แต่แน่นอนว่าในอนาคต เมื่อโลกรถยนต์กลายเป็นโลกพลังขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า พวกเขาก็จะเรียนรู้ก่อนและแก้ปัญหาได้ไวกว่า
ขณะที่ผู้ผลิตรถยนต์หลายรายที่เน้นความปลอดภัย ไม่เร่งเครื่องยานยนต์ไฟฟ้าเท่าที่ควร หากเกิดปัญหาขึ้นในอนาคต ก็จะต้องจัดการแก้ไขเรื่องทั้งหมดอยู่ดี พอถึงเวลานั้น ความเชี่ยวชาญของการผ่านปัญหาที่แตกต่างกัน ก็จะให้ผลที่ต่างกันในที่สุด