การแข่งขันแรลลี่แชมป์โลก (World Rally Championship) หรือ WRC เป็นรายการแข่งรถทางฝุ่น ที่พัฒนาต่อยอดมาจากการแข่งรถแรลลี่ซาฟารี ที่เน้นความอดทนแข็งแรงบนทางหฤโหด กลายเป็นแข่งความเร็วบนทางฝุ่น เริ่มอย่างเป็นทางการในปี 1973 และมีการปรับกติการการแข่งขันมาแล้ว 5 ช่วงสมัย ซึ่งเราขอคัดเลือกรถที่คิดว่าสุดยอดในแต่ละยุค รวมกันได้ 10 รุ่นดังนี้
ยุคแรกของการแข่งขันในช่วงปี 1973-1981 เป็นยุครุ่งเรืองสุดของรถอิตาลี เพราะมีดาวเด่นสุดในยุคนั้นคือรถสปอร์ต Lancia Stratos (แลนเซีย สตราโตส) ซึ่งมีความสมบูรณ์แบบทั้งรูปทรงออกแบบโดย Bertone ใช้เครื่องยนต์จาก Ferrari เบนซิน V6 ความจุ 2.4 ลิตร 280 แรงม้าที่วางกลางลำ บนน้ำหนักตัวไม่ถึง 1 ตัน ทำให้มีความคล่องตัวสูง บังคับควบคุมง่าย อันเป็นสูตรสำเร็จที่ถูกใช้มาจนถึงปัจจุบัน
Fiat 131 Abarth (เฟียต 131 อบาร์ธ) รถบ้านขนาดเล็กจากอิตาลี ผู้คว้าแชมป์ครั้งแรกของรายการ WRC ในปี 1973 ก่อนจะถูกแลนเซีย สตราโตส ยึดตำแหน่งแชมป์อย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 1977 ก็กลับมาแย่งแชมป์ได้อีกครั้ง ด้วยรถรุ่นเดิมที่มีกำลังเครื่องเพียง 140 แรงม้า แต่ด้วยฝืมือการขับโดย Walter Röhrl ทำให้คว้าแชมป์ได้ 3 ครั้ง ซึ่งชื่อเสียงนี้ ทำให้นักแข่งรถคนดังกล่าว ยังคงเป็นนักขับรถทดสอบให้กับ Porsche จนถึงปัจจุบัน
การแข่ง WRC ยุคที่ 2 ที่โด่งดังสุดคือ Group B เป็นยุคที่บ้าระห่ำสุด ๆ เพราะเต็มไปด้วยการเร่งพัฒนากำลังแรงม้าให้รถยนต์อย่างไม่มีข้อจำกัด จึงเกิดเป็นผลผลิตอย่างเช่น Audi Quattro (อาวดี้ ควอโตร) ที่นำเทคโนโลยีขับเคลื่อน 4 ล้อมาใส่ ทำให้เคลื่อนที่ผ่านทางฝุ่น-โคลนได้อย่างสบาย คว้าแชมป์ถึง 23 รายการภายใน 6 ปีที่ลงแข่ง นับเป็นรถแข่งแรลลี่ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งยุค Group B จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของรถแรลลี่ ว่าต้องมีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อจนถึงปัจจุบัน
นอกจากนี้ Audi Quattro ยังได้เป็นแรงบันดาลใจให้ Ken Block สมัยวัยรุ่น ได้ผันตัวมาเป็นนักแข่งรถจนถึงปัจจุบัน
Peugeot 205 (เปอโยต์ 205) รถขนาดเล็กที่ใส่หัวใจใหญ่ ตามสูตรการพัฒนารถสปอร์ตดั้งเดิมในตำนาน ด้วยการวางเครื่องกลางลำแบบรุ่น Stratos และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบ Audi แถมโมดิฟายให้เครื่องเปอโยต์ 1.8 ลิตร รีดกำลังออกมาได้ 400 แรงม้า นับว่าเป็นสเปคที่เดือดพุ่งพล่าน จนสามารถคว้าแชมป์ได้ 16 รายการในตลอด 3 ปีที่เข้าร่วม
สถิตินี้นับว่าโดดเด่นมาก จนคู่แข่งพยายามเอาเยี่ยงอย่าง เช่น Lancia Delta S4 จูนเครื่องแรงถึง 500 แรงม้า แต่กลับเกิดอุบัติเหตุสูญเสียไปหลายชีวิตระหว่างทาง จนต้องยกเลิกกติกาของ Group B นี้ออกไป
ในการแข่ง WRC ยุคที่ 3 เปลี่ยนชื่อเป็น Group A เปลี่ยนกฎข้อบังคับว่า รถที่จะลงแข่งนั้น ต้องมีสเปคเหมือนกับรุ่นวางจำหน่ายจริง ซึ่งการเปลี่ยนกฎครั้งนี้ ก็เพื่อให้รถแข่งแรลลี่เกิดอุบัติเหตุน้อยลง ด้วยความขับง่ายเหมือนรถบ้านจ่ายตลาด
Lancia Delta (แลนเซีย เดลต้า) ที่ออกแบบมาตั้งแต่ 10 ปีก่อน ก็ยังมีความสามารถโมดิฟายให้ตรงตามกฎใหม่นี้ได้ จึงเป็นรถบ้านรุ่นแรก ที่ทำสเปคออกขายเท่ากับรถตัวแข่ง ขับได้บนถนนจริง ไม่บ้าพลังเหมือนยุคก่อน ซึ่งขุมพลังในรุ่นนี้ลดลงจากสมัยยุคก่อน 500 แรงม้า เหลือเพียง 360 แรงม้า แม้กำลังน้อยลงมา แต่สามารถทำแชมป์ 46 รายการใน 6 ฤดูกาลแข่ง เป็นรถแข่งที่ประสบความสำเร็จที่สุดแห่งยุคนี้
อ่านเพิ่มเติม : เทียบสเปคความสูงใต้ท้องรถ SUV, MPV ทุกรุ่นที่ขายไทยในปี 2021
หลังจากที่ชาติอิตาลีและยุโรปอื่น ๆ พลัดกันคว้าแชมป์ ก็มีรถญี่ปุ่นรุ่นแรกที่ประสบความสำเร็จสักที นั่นคือ Toyota Celica (โตโยต้า เซลิก้า) ในปี 1990 จนถึงปี 1994 ได้แชมป์มาทั้งหมด 30 รายการ จนในปีสุดท้ายของรุ่นนี้ มันถูกจับได้ว่าใช้กรวยบีบอากาศแบบปรับขนาดได้ จึงถูกแบนจากการแข่งขันไป
โตโยต้า เซลิก้า นับเป็นรถทรงสปอร์ตคูเป้รุ่นสุดท้าย ที่ได้เป็นแชมป์แรลลี่ เพราะหลังจากนั้นก็เข้าสู่ยุครถบ้าน ที่ถูกควบคุมขนาดเครื่องยนต์ จนไม่มีรถสปอร์ตแบบนี้อีกต่อไป
อ่านเพิ่มเติม : มือสองต้องรู้ รวมรถคูเป้ต่ำกว่า 5 แสน Toyota Celica, Nissan NX ฯลฯ ที่คนสะสม
Subaru Impreza WRX (ซูบารุ อิมเพรซ่า ดับเบิ้ลยูอาร์เอกซ์) เป็นรถที่พัฒนาจากซีดานขนาดเล็กรุ่นอิมเพรซ่า จากข้อบังคับว่าต้องใช้รถแข่งที่มาจากรถรุ่นปกติที่มีขายในโชว์รูมเท่านั้น โดยรถบ้านรุ่นนี้ถูกเสริมพลัง เติมพาร์ทตัวถัง และใช้ชื่อรุ่นว่า WRX หมายถึง World Rally eXperimental เพื่อสือถึงการลงแข่งโดยเฉพาะ รถแข่งรุ่นนี้ถูกขับโดย Colin McRae สร้างตำนานคว้าแชมป์รวมไปได้ 6 ปีจากทั้งที่เข้าร่วม 8 ปี ซึ่งทำให้เขาถูกยกย่องว่าเป็นตำนานนักแข่งที่วงการรถยนต์ยอมรับ
อ่านเพิ่มเติม : 2022 Subaru WRX โมเดลเชนจ์ เผยสเปคจริง
คู่กัดกับรถค่ายดาวลูกไก่ Mitsubishi Lancer Evolution (มิตซูบิชิ แลนเซอร์ อีโวลูชั่น) เป็นความพยายามปรับแต่งรถบ้านให้กลายเป็นรถแข่ง พร้อมจับคู่กับนักแข่งมากฝืมือ Tommi Makinen ซึ่งสร้างสถิติชนะ 22 สนามจาก 24 สนามที่ร่วมรายการ ในปี 1996-1998 นับเป็นต้นกำเนิดของตระกูล Lancer Evolution ต่อมาถึง 10 รุ่น และยังเป็นการแจ้งเกิดของทีม Ralliart มาจนถึงปัจจุบัน
อ่านเพิ่มเติม : Mitsubishi ฟื้นแบรนด์ Ralliart เล็งขายของแต่ง Triton - Pajero Sport
ยุคที่ 4 ของการแข่งแรลลี่ใช้ชื่อว่า WRC ในช่วงปีนี้ เพิ่มข้อจำกัดที่ว่าต้องใช้เครื่องยนต์ไม่เกิน 2,000 ซีซีเท่านั้น และใช้เทอร์โบเพิ่มกำลังได้ไม่เกิน 300 แรงม้า โดยต้องมีชิ้นส่วนโครงสร้างพื้นฐานเหมือนรถบ้านที่ขายอยู่ปกติ ซึ่งไปเข้าทางรถ Citroen C4 (ซีตรอง ซี4) ที่ปรับแต่งเต็มพิกัดไม่เกินกฎ
นอกจากรถแรงแล้ว ยังจับคู่กับนักแข่งชื่อดัง Sebastien Loeb ซึ่งมีฝืมือเทพมากขนิดที่ว่า ต่อให้เขาไม่สามารถเข้าลงแข่ง 4 นัด แต่ก็ยังสามารถเก็บคะแนนอีก 8 สนามที่เหลือด้วยคะแนนสูงลิ่ว บางสนามได้เต็ม 100 ด้วยซ้ำ ทำให้เขาได้อันดับที่ 2 ของรายการนั้น
ยุคที่ 5 ของการแข่งแรลลี่ใช้ชื่อว่า S2000 จะมีกฎที่เรียบง่ายมากขึ้น ด้วยจุดประสงค์หลักคือ เพื่อลดค่าใช้จ่าย ให้ทีมเล็กมีงบน้อยได้แจ้งเกิดบ้าง โดยรถพื้นฐานในยุคนี้ใช้เครื่อง 1,600 ซีซี และยังอนุญาตให้ใช้เทอร์โบ กับระบบขับเคลือน 4 ล้อเช่นเดิม
รถแข่งเด่นในยุคนี้ได้แก่ Volkswagen Polo R (โฟล์คสวาเกน โปโล อาร์) ซึ่งทำผลงานชนะสนาม 43 ครั้ง ชนะรายการ 12 ครั้ง นับเป็นรถที่มีอัตราส่วนการชนะสูงสุดเท่าที่เคยแข่งแรลลี่มา ด้วยอัตรา 83% ที่มีโอกาสชนะ ซึ่งยังไม่มีใครโค่นลงได้จนถึงปัจจุบัน
การแข่งขันแรลลี่นั้น มีประโยชน์กับวงการรถยนต์หลายอย่าง เพื่อเป็นการสร้างเทคโนโลยีขับเคลื่อนกับสร้างเครื่องยนต์ที่เน้นความทนทานไปพร้อมกับความแรง เท่าที่ราคาขายจะเอื้ออำนวย ซึ่งในอนาคตนั้นอาจจะลดขนาดความจุเครื่องยนต์ลงไปอีกเรื่อย ๆ หรือพ่วงมอเตอร์ไฟฟ้าเข้ามา เพื่อให้วงการพลังไฟฟ้าได้ลงทางฝุ่นได้อย่างน่าตื่นเต้นสักที
อ่านเพิ่มเติม : ย้อนอดีตกับ 9 แบรนด์ในอดีตที่ครั้งหนึ่งเคยขายในเมืองไทย วัยเก๋าต้องคุ้นเคย
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}