2023 Mercedes-Benz GLC (2023 เมอร์เซเดส-เบนซ์ จีแอลซี) ได้รับการเผยโฉมอย่างเป็นทางการแล้ว ลุยตลาดรถเอสยูวีพรีเมียมขนาดคอมแพ็กต์ปะทะ BMW X3 และ Audi Q5

ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้า Mercedes-Benz พัฒนารถอีวีหลากหลายรุ่น ทั้ง EQB, EQE และ EQS แต่ในขณะเดียวกัน พวกเขายังนำเสนอรถเครื่องยนต์สันดาปควบคู่กันไปด้วย และที่ขาดไม่ได้คือรถเอสยูวีที่ขายดิบขายดีทั่วโลกอย่าง GLC ที่ถึงเวลาเปลี่ยนผ่านเจนเนอเรชั่นใหม่แล้ว

ด้วยความที่เสียงตอบรับของรุ่นเดิมนั้นคึกคักอยู่แล้ว หน้าตาภายนอกของ GLC ใหม่จึงยังคงสไตล์เดิม แต่ที่เพิ่มเติมเข้ามาคือเส้นสายที่ปราดเปรียวมากขึ้น กระจังหน้าของ GLC ใหม่มีขนาดใหญ่กว่าเดิม กรอบไฟหน้าเฉียบคม มีช่องดักอากาศที่น่ามอง ล้ออัลลอยมีขนาดอยู่ระหว่าง 18 – 20 นิ้ว ตัวถังโดยรวมดูน่าเกรงขามขึ้นกว่าเดิม

การปรับเปลี่ยนหน้าตาและตัวถังยังทำให้ค่าแรงเสียดทานอากาศ Cd ดีขึ้นจากเดิม .31 ลดเหลือ .29 ตัวรถมีความลู่ลมกว่าเดิม ขณะที่ทุกชิ้นส่วนทั้งใต้ท้องรถ ล้อ สปอยเลอร์ต่าง ๆ ถูกออกแบบให้มอบความสะดวกสบาย เงียบสงบ และประหยัดเชื้อเพลิง

มิติตัวถังของ GLC ใหม่มีความยาว 4,716 มม. (ยาวขึ้น 60.96 มม.) กว้างเท่าเดิม 1,890 มม. ความสูงอยู่ที่ 1,640 มม. (เตี้ยลง 4 มม.) และระยะฐานล้อ 2,888 มม. (ยาวขึ้น 15 มม.)

ที่น่าสนใจก็คือระยะห่างของล้อหน้าและล้อหลังกว้างขึ้นอีก 6.09 มม. และ 23.11 มม. ตามลำดับ ช่วยให้พื้นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางโอ่โถงมากขึ้นตามไปด้วย โดยมีพื้นที่บรรจุสัมภาระมากกว่าเดิม 70.7 ลิตร รวมทั้งหมด 620.1 ลิตร

ห้องโดยสารสวยสดงดงาม

เปิดประตูก้าวเข้ามานั่งในห้องโดยสารจะพบกับบรรยากาศที่เน้นความอลังการงานสร้าง สะดุดตาด้วยจออินโฟเทนเมนท์สไตล์แท็บเล็ตขนาด 11.9 นิ้ว พวงมาลัยดีไซน์สปอร์ตแบบ 3 ก้าน และชุดมาตรวัดฟูลดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว

อีกหนึ่งไฮไลท์ยังรวมถึงการใช้ลวดลายหลากหลายรูปแบบบนแผงแดชบอร์ดหน้าที่ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามใจชอบ เติมเต็มด้วยการเล่นเส้นสายเมทัลลิก ส่วนการตกแต่งเบาะนั่งและแผงประตูจะใช้สีดำเป็นหลักตัดกับสีสันที่ลูกค้าสามารถเลือกสรรได้อีกเช่นกัน โดยจากภาพด้านล่างนี้เป็นสีแดงที่อัพเกรดความสปอร์ตได้อย่างชัดเจนเต็มตา

อุปกรณ์อำนวยความสะดวกพื้นฐานประกอบด้วยเบาะนั่งปรับอุณหภูมิได้ ระบบเชื่อมต่อ  Android Auto และ Apple CarPlay ระบบชาร์จอุปกรณ์ไร้สาย และระบบสแกนลายนิ้วมือสำหรับการบันทึกการใช้งานของผู้ขับขี่แต่ละคน

นอกจากนี้ยังมีเทคโนโลยีเฮดอัพดิสเพลย์แบบสี และฟังก์ชั่น “ฝากระโปรงหน้าโปร่งใส” แสดงผลให้ผู้ขับขี่เห็นว่าถนนใต้ท้องรถเป็นอย่างไร และทิศทางการหมุนพวงมาลัย ซึ่งเหมาะสำหรับการขับขี่บนเส้นทางออฟโรด ขณะเดียวกัน บางรุ่นย่อยยังมีกล้องความละเอียดสูง และมีการอัพเดทซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ภายในรถแบบไร้สายหรือ OTA

ขุมพลังขับเคลื่อนไมลด์ไฮบริด และ PHEV

Mercedes-Benz วางเครื่องยนต์ M254 เบนซิน 4 สูบ ขนาด 2.0 ลิตร พ่วงระบบไมลด์ไฮบริด 48 โวลต์ มีทั้งรุ่น GLC 300 ขับเคลื่อนล้อหลังและ GLC 300 4Matic ขับเคลื่อน 4 ล้อ พละกำลังสูงสุด 258 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 400 นิวตันเมตร โดยระบบ ISG (integrated starter-generator) สามารถกระชากแรงม้าเพิ่มขึ้นอีก 23 ตัว แรงบิดสูงขึ้น 200 นิวตันเมตร

ระบบส่งกำลังของทั้งสองรุ่นย่อยเป็นเกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด ล้อหลังมีฟังก์ชั่นเลี้ยวได้ 4.5 องศา อัตราเร่ง 0-96 กม.ต่อชม. ทำได้ภายใน 6.2 วินาที ส่วนความเร็วสูงสุดล็อกไว้ที่ 209 กม.ต่อชม. แต่ยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขอัตราความประหยัดน้ำมัน

สเปกข้างต้นเป็นเวอร์ชั่นอเมริกาเหนือ แต่หากเป็นในภูมิภาคยุโรปก็จะได้ใช้รุ่นเบนซิน GLC 200 4Matic มีพละกำลัง 201 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร และดีเซล GLC 200 d 4Matic มีพละกำลัง 194 แรงม้า แรงบิด 440 นิวตันเมตร

ขณะที่รุ่นปลั๊กอินไฮบริด PHEV เข้าสู่เจนเนอเรชั่นที่ 4 ของ Mercedes-Benz วางอยู่ในรุ่นย่อย GLC 300 e 4MATIC มีพละกำลัง 308 แรงม้า แรงบิด 550 นิวตันเมตร และ GLC 400 e 4MATIC รีดกำลัง 375 แรงม้า แรงบิด 650 นิวตันเมตร ปิดท้ายด้วย  GLC 300 de 4MATIC มีเรี่ยวแรง 328 แรงม้า แรงบิดกระฉูด 750 นิวตันเมตร

ทีเด็ดของรุ่นปลั๊กอินไฮบริดใหม่คือการมีขนาดเล็กลง เบาลง และทรงพลังกว่าเดิม สามารถโลดแล่นด้วยกำลังไฟฟ้าล้วน ๆ ได้ไกล 100 กม. ที่ความเร็วสูงสุด 140 กม.ต่อชม. จากการติดตั้งชุดแบตเตอรี่ 31.2 กิโลวัตต์ชั่วโมง

อัตราบริโภคน้ำมันของรุ่นปลั๊กอินไฮบริดประหยัดสุด ๆ จิบน้ำมันราวกับคนจำศีลอยู่ที่ 0.5 ลิตรต่อ 100 กม. หรือประมาณ 200 กม.ต่อลิตร

ระบบกันสะเทือนแบบถุงลมเป็นอุปกรณ์มาตรฐานในรุ่นปลั๊กอินไฮบริด ระบบความปลอดภัยครบครันแพ็คเกจ Drive Pilot ระบบขับขี่อัตโนมัติระดับ 2 มีระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ ระบบล็อกความเร็วแปรผัน และระบบควบคุมรถให้อยู่ในเลนที่ความเร็วสูงสุด 210 กม.ต่อชม.

กำหนดการจัดจำหน่ายของ 2023 Mercedes-Benz GLC จะมีขึ้นในช่วงต้นปีหน้า ราคาจำหน่ายจะได้รับการประกาศอย่างเป็นทางการอีกครั้ง