MG BYD เอ็มจี บีวายดี

• เดินหน้าคว่ำแชมป์เก่าอย่างต่อเนื่อง
• การเติบโตของค่ายรถหลักในประเทศ
• ตลาดในประเทศก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน

ประเทศจีนก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในตลาดส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปแทนที่ประเทศญี่ปุ่นได้สำเร็จในไตรมาสแรกของปีนี้ จากการรายงานตัวเลขล่าสุด ซึ่งทำให้พวกเขาก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกรถยนต์รายใหญ่ของโลกแทนที่ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนีได้สำเร็จ หลังจากที่คว่ำเยอรมนีขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดส่งออกอันดับ 2 ของโลกในปีที่ผ่านมา

ตัวเลขการส่งออกรถยนต์สำเร็จรูปจากประเทศจีนทะลุผ่าน 1.069 ล้านคันในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ เหนือกว่ายอดการส่งออกจากญี่ปุ่นที่ทำได้ 1.047 ล้านคันในช่วงเวลาเดียวกัน 

ทั้งนี้ แบรนด์ที่มียอดการส่งออกมากที่สุดในช่วงเวลาดังกล่าวล้วนเป็นแบรนด์รถยนต์ยอดนิยม ไม่ว่าจะเป็น SIAC ภายใต้เป็น MG (เอ็มจี) Tesla (เทสล่า) Chery (เฌอรี่) Geely (จีลี่) GWM (เกรทวอลล์มอเตอร์) และ Changan (ฉางอัน)

อ่านเพิ่มเติม: Chery คิดการใหญ่ เตรียมเปิดไลน์ผลิตรถยนต์ใน 3 ประเทศหลักในอาเซียน

1 ใน 3 คือการส่งออกเอ็มจี และบีวายดียังไม่ตู้ม

ตัวเลขการส่งออกดังกล่าวมีรายละเอียดที่น่าสนใจ โดยในรายงานระบุว่า MG นั้นยึดเจ้าตลาดส่งออกรถยนต์จากประเทศจีน โดยการส่งออกรถทุก ๆ 3 คันจะเป็นรถของเอ็มจี 1 คัน ซึ่งเป็นผลงานการผลิตของเอสเอไอซีเอง ขณะที่แบรนด์ที่กำลังมาแรงในบ้านเราอย่าง BYD (บีวายดี) นั้น ยังไม่ได้ลุยเรื่องการส่งออกมานัก โดยมียอดส่งออกที่ 5.8 หมื่นคัน อยู่ในลำดับที่ 9

แล้วจีนส่งออกไปที่ไหนมากที่สุดกันนะ

ตลาดส่งออกรถยนต์ที่สำคัญที่สุดของประเทศจีนยังเป็นตลาดใหญ่อย่างรัสเซีย ที่ยังมีความสัมพันธ์อันดีในช่วงที่ผ่านมา ตามมาด้วยสหรัฐอเมริกา เม็กซิโก สหราชอาณาจักร เบลเยี่ยม ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย เยอรมนี สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และเกาหลีใต้ ซึ่งเป็นตลาดหลักที่มีการเปลี่ยนแปลงไม่มากนักสำหรับจุดหมายหลักของการส่งออก

อ่านเพิ่มเติม: Changan รถจีนหน้าใหม่ อาจมีแผนขายไทย

ไม่ได้โตแค่ส่งออก แต่ในประเทศก็แข็งแกร่งไม่เบา

ในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลจีนพยายามอย่างยิ่งยวดที่จะผลักดันให้ตลาดรถยนต์กลับมาฟื้นตัวอีกครั้ง โดยเฉพาะในช่วงหลังการเปิดประเทศจากภาวะโควิด-19 โดยเฉพาะในส่วนของรถยนต์พลังงานใหม่ ที่มีการให้คำมั่นว่าจะออกนโยบายสนับสนุน พร้อมดำเนินมาตรการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือนมีนาคม พวกเขาผลิตรถยนต์พลังงานใหม่เพิ่ม 44.8% และมียอดขายที่เพิ่มขึ้น 34.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยการผลิตรวมนั้นมากถึง 2.58 ล้านคัน เติบโต 15.3% และมียอดขายโต 9.7% หรือราว 2.45 ล้านคัน