หลังจากที่ไม่ได้มีสินค้ารุ่นใหม่ในการทำตลาดมานาน ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดปิกอัพและพีพีวี ทำให้ Ford (ฟอร์ด) มียอดจำหน่ายที่ลดลง และหล่นลงไปอยู่ในอันดับ 6 ของยอดจำหน่ายรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศไทยในปี 2564 ที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ฟอร์ดได้ปูพรมสินค้ารุ่นใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นกระบะพันธุ์แกร่ง Ford Ranger (ฟอร์ด เรนเจอร์) ตัวลุยขาโหด Ford Ranger Raptor (ฟอร์ด เรนเจอร์ แร็พเตอร์) และพีพีวีสุดเนี๊ยบอย่าง Ford Everest (ฟอร์ด เอเวอเรสต์)
จากการเปิดตัวสินค้าใหม่ที่มียอดจองเข้ามา ทำให้ได้ยอดจองไปจำนวนมาก และฟอร์ดพร้อมที่จะส่งมอบรถทั้งหมดอย่างเต็มที่ในครึ่งปีหลัง รัฐการ จูตระกูล รองกรรมการผู้จัดการ ฟอร์ด ประเทศไทย บอกว่าเป้าหมายการกลับไปสู่อันดับ 4 ของตลาดนั้นชัดเจนขึ้นมาอีกครั้งในปีนี้
ถือเป็นการคัมแบ็คที่ไม่ธรรมดาในรายละเอียดของฟอร์ดเลยทีเดียว...
ด้วยชื่อเสียงของรถที่ทำตลาดมาอย่างยาวนาน ประกอบกับการออกแบบใหม่และอุปกรณ์ที่ใส่เพิ่มเข้าไป รวมถึงการควบคุมราคาจำหน่ายเอาไว้นับตั้งแต่เปิดตัว ทำให้ฟอร์ดสามารถกวาดยอดจองไปได้แล้วมากกว่า 1.5 หมื่นคัน แบ่งออกเป็นเรนเจอร์และแร็พเตอร์กว่า 1.1 หมื่นคัน โดยเป็นส่วนของตัวโหดมากถึง 2,800 คัน และเอเวอเรสต์มียอดจองเข้ามามากกว่า 4,300 คัน โดยฟอร์ดเพิ่งส่งมอบเรนเจอร์ไป 4,800 คัน เอเวอเรสต์ 200 กว่าคัน และจะเริ่มส่งมอบแร็พเตอร์หลังวันที่ 19 สิงหาคมที่จะถึงนี้
แม้จะเป็นช่วงการรันดาวน์สินค้ารุ่นก่อนหน้าที่ทำตลาดมานานในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2565 รวมถึงการขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิต ทำให้ตลาดได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง แต่ฟอร์ดก็สามารถรักษายอดจำหน่ายไว้ได้เหนือกว่าปีที่ผ่านมา โดยมียอดจำหน่ายใน 7 เดือนแรกไปมากกว่า 1.85 หมื่นคัน ทำให้ฟอร์ดกลับขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดอันดับที่ 5 ของตลาดรถยนต์รวม โดยมีส่วนแบ่งตลาดรวมในเดือนก.ค.ที่ 5.6% โดยตลาดปิกอัพมีส่วนแบ่ง 9.7% และตลาดพีพีวีมี 16.6% และเป็นผู้นำในตลาดรถกระบะสี่ประตู ขับเคลื่อนสี่ล้อ
"การเติบโตของเรา ส่วนหนึ่งมาจากการที่เราทำตลาดกลุ่มพรีเมียมมาค่อนข้างดี" ซึ่งนอกจากการเป็นผู้นำในตลาดรถกระบะที่แพงที่สุดของเซกเมนต์แล้ว ตัวเรนเจอร์ แร็พเตอร์ที่มีราคาจำหน่ายแพงอย่างชัดเจน จับกลุ่มลูกค้าที่โดดเด่นและแตกต่างก็มียอดจองไปแล้วมากกว่า 2,800 คัน ซึ่งรัฐการบอกว่า ปัญหาจากภาคเศรษฐกิจในปัจจุบันที่ส่งผลต่อการชะลอตัวของตลาด เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนและอื่น ๆ ที่ตามมา ตลาดรถระดับล่างและกลางจะได้รับผลกระทบมากกว่าตลาดระดับบน ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้ฟอร์ดมั่นใจว่าจะสามารถเดินหน้าได้ตามเป้าหมายที่วางไว้
ในอดีตนั้น ฟอร์ดเคยมีส่วนแบ่งตลาดรถกระบะมากถึง 14% และตลาดพีพีวีที่ 18% จากสินค้ารุ่นเดิม ซึ่งรัฐการระบุว่า ฟอร์ดเองก็ตั้งเป้าหมายที่จะกลับไปสู่สัดส่วนตลาดระดับนั้นด้วยสินค้าใหม่ ที่ออกแบบมาทั้งเรื่องของออพชั่นและการทำราคาที่แข่งขันได้ เพื่อให้ไปสู่เป้าหมายการเป็นผู้นำตลาดอันดับ 4 ให้ได้ภายในปี 2565 นี้ ซึ่งฟอร์ดกำลังจะเดินหน้าส่งมอบสินค้าทุกรุ่นให้กับลูกค้าชาวไทยอย่างเต็มรูปแบบนับตั้งแต่เดือนนี้ โดยมีเป้าหมายที่จะจำหน่ายเรนเจอร์และแร็พเตอร์รวมกันที่เดือนละ 4,000 คัน รวมถึงเอเวอเรสต์เดือนละ 1,000 คันให้ได้ในช่วง 5 เดือนสุดท้ายของปี เพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายของฟอร์ด
อย่างไรก็ตาม จากการประเมินตลาดในปีนี้ ก็ยังพบว่าตลาดรถยนต์นั่งขนาดเล็กจะเป็นตลาดที่สำคัญที่มีการเติบโตมากที่สุดของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ซึ่งยังมีปัจจัยลบมากมายที่จะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง รวมถึงโครงการใหม่ ๆ ที่รอความชัดเจน เช่น เรื่องของยานยนต์ไฟฟ้าว่าจะเติบโตไปในทิศทางใด สำหรับฟอร์ด ประเมินว่าอุตสาหกรรมยานยนต์น่าจะขยายตัวไปอยู่ที่ระดับ 8.75 แสนคัน ในส่วนของฟอร์ดก็มีเป้าหมายที่จะเพิ่มยอดจำหน่ายให้เติบโตจากยอด 3.3 หมื่นคันในปี 2564 เพื่อกลับมาติดท็อปโฟร์ของผู้จำหน่ายรถยนต์ในประเทศไทยอีกครั้งในปีนี้
แม้จะขายของพรีเมียมเก่ง แต่ก็พร้อมลุยทุกเซกเมนต์อย่างแน่นอน!!!
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}