Elon Musk ซีอีโอของ Tesla (เทสล่า) กล่าวผ่าน Twitter ว่าบริษัทจะลบฟังก์ชั่นตรวจสถานะผู้ขับขี่ที่ใช้ร่วมกับระบบช่วยเหลือการขับขี่ระดับที่ 2 และหน่วยงานกำกับดูแลความปลอดภัยบนท้องถนนของสหรัฐฯ นั้นกำลังสอบสวนอยู่
- สอบสวนถึงอุบัติเหตุที่ผ่านมา
- Tesla ยืนยันในเว็บไซต์ว่าต้องจับพวงมาลัยตอนเปิดระบบ
- ที่ผ่านมา Tesla อาจโฆษณาระบบเกินจริง
- เว็บไซต์บอกอย่างหนึ่ง แต่ซีอีโอบอกอีกแบบที่ชวนสับสน
- ปัจจุบันมีแค่รถขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 เท่านั้นที่ได้รับการรับรอง
ระบบช่วยเหลือการขับขี่ของเทสล่านั้นมีชื่อเรียกว่า Full Self-Driving Beta โดยฟังก์ชั่นดังกล่าวจะใช้ทั้งกล้องภายในรถและพวงมาลัยของรถเพื่อทำให้คนขับให้ความสนใจกับถนน แต่ซีอีโอของเทสล่ากล่าวว่าระบบนี้จะถูกนำออกไปในอนาคต
เมื่อมีคำถามถึงประเด็นที่ “พวงมาลัยสั่น” ในรถที่ขับไปเกิน 10,000 ไมล์ (16,093 กม.) เมื่ออยู่ในระบบ Full Self-Driving Beta พบว่ามัสก์ตอบว่าจะแก้ไขประเด็นนี้และการเปลี่ยนแปลงจะเริ่มต้นในเดือนมกราคมนี้
สอบสวนถึงอุบัติเหตุที่ผ่านมา
สำนักงานความปลอดภัยบนทางหลวงและการจราจรแห่งชาติของสหรัฐฯ (NHTSA) กล่าวกับรอยเตอร์สว่า ตอนนี้ “กำลังอยู่ระหว่างการติดต่อกับ Tesla เพื่อรวบรวมข้อมูลเพิ่มเติม”
NHTSA กำลังดำเนินการสอบสวนรถเทสล่ากว่า 830,000 คันเพื่อตรวจสอบปัญหาเกี่ยวกับประเด็นของรถที่ใช้ Autopilot ระบบช่วยเหลือการขับขี่ระดับที่ 2 ที่พุ่งเข้าชนรถฉุกเฉินที่จอดอยู่กับที่
หนึ่งในการสอบสวนครั้งนี้คือการพิจารณาว่ารถ Tesla นั้นมีระบบที่ตรวจสอบให้ผู้ขับขี่สนใจถนนหรือไม่
ในการสอบสวนพบว่า มีรถ Tesla อย่างน้อย 14 คันที่ชนเข้ากับรถฉุกเฉินขณะใช้งานระบบ Autopilot ขณะเดียวกัน NHTSA ได้สอบสวนการชนไปแล้วกว่า 35 ครั้งเริ่มตั้งแต่ปี 2016 ซึ่งเป็นขณะที่รถใช้ระบบ Full Self-Driving โดยมีผู้เสียชีวิตรวมกว่า 19 คน
ในการสอบสวนยังมีเทสล่ากว่า 416,000 คันที่ NHTSA กำลังตรวจสอบในประเด็นที่ “รถเบรกเอง” ใน Tesla Model 3 และ Model Y
จากข้อมูลของ Tesla ระบุว่าในปัจจุบันมีรถที่ใช้งานระบบ Full Self-Driving Beta ราว 160,000 คัน
Tesla ยืนยันในเว็บไซต์ว่าต้องจับพวงมาลัยตอนเปิดระบบ
Tesla กล่าวในเว็บไซต์ของตัวเองว่าระบบ Full Self-Driving Beta นั้นไปในทางเดียวกับ Autopilot ที่ระบุว่าระบบนั้นต้องการ “คนขับที่เอาใจใส่อย่างเต็มที่พร้อมควบคุมพวงมาลัยและพร้อมที่จะเข้าควบคุมได้ทุกเมื่อ”
สำหรับการเปิดใช้งานระบบ Autopilot นั้น Tesla ระบุว่าผู้ขับขี่จะต้องนำมือจับพวงมาลัยไว้ตลอดเวลาเพื่อ “รักษาการควบคุมและความรับผิดชอบ” สำหรับตัวรถ แม้ว่าวิดีโอของบริษัทเองจะแสดงให้เห็นว่าระบบสามารถทำงานได้โดยที่คนขับไม่ได้จับพวงมาลัย
ที่ผ่านมา Tesla อาจโฆษณาระบบเกินจริง
นอกจากสิ่งที่ NHTSA สืบสวนมาแล้ว ซึ่งยังไม่นำไปสู่การใช้กฎหมายใด ๆ ยังมีรายงานว่า Tesla ตกเป็นเป้าหมายของการสอบสวนทางอาญาโดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เกี่ยวกับระบบ Autopilot
เพราะมีรายงานว่าอัยการในวอชิงตัน ดี.ซี. และซานฟรานซิสโกกำลังตรวจสอบว่า Tesla นั้นอาจกำลังหลอกลวงผู้บริโภค นักลงทุน รวมถึงหน่วยงานที่กำกับดูแล โดยการกล่าวอ้างเกี่ยวกับความสามารถของระบบช่วยเหลือการขับขี่โดยไม่มีข้อมูลสนับสนุน
ขณะเดียวกันนั้น Tesla ระบุข้อความไว้บนเว็บไซต์ของตนว่า ระบบช่วยเหลือการขับขี่ระดับ 2 นั้นไม่ทำให้รถขับเคลื่อนอัตโนมัติโดยสมบูรณ์ แต่ก็มีบางข้อความที่ชวนให้สับสนจากวีอีโออย่างอีลอน มัสก์
โดยในการประชุมด้านการเงินเมื่อปีที่แล้ว อีลอน มัสก์ได้กล่าวว่าในปี 2023 จะ “สามารถแสดงให้หน่วยงานที่กำกับดูแลเห็นว่ารถจะมีความปลอดภัยที่มากกว่ามนุษย์โดยเฉลี่ย”
อ่านเพิ่มเติม : Elon Musk จะ “ช๊อคมาก” หาก Full Self-Driving ของ Tesla จะปลอดภัยน้อยกว่ามนุษย์
“เราจะประสบความสำเร็จในระบบ Full self-driving เต็มรูปแบบ ผมมองว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้น 100 เปอร์เซ็นต์ และผมคิดว่าเราเกือบถึงตรงนั้นแล้ว หลังจากนั้น เราจะต้องพิสูจน์มันให้กับหน่วยงานที่กำกับดูแลเพื่อให้ได้รับการรับรอง ซึ่งไม่ได้อยู่ในการควบคุมของเรา” มัสก์ กล่าว
“แต่ใครก็ตามที่กำลังขับรถที่มีระบบ Full self-driving หรือกำลังมี Full self-driving Beta ในรถ คุณจะเห็นอัตราการพัฒนาของมัน โดยคุณจะได้รับประสบการณ์นี้ได้ด้วยตนเองว่าเราจะไปถึงตรงนั้นจริง ๆ ซึ่งในความจริงแล้วเราใกล้ถึงแล้ว ดังนั้น เราน่าจะทำสำเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์”
เขายังกล่าวว่ารถที่มีระบบ Full Self-Driving beta จะ “สามารถขับพาเราจากบ้านไปบังที่ทำงาน บ้านเพื่อน หรือร้านค้าต่าง ๆ ได้โดยที่เราไม่ต้องแตะพวงมาลัย” และก่อนหน้านี้เขากล่าวว่า Tesla จะเปิดตัว Full Self-Driving beta เต็มรูปแบบในช่วงปลายปีที่แล้วสำหรับผู้ที่ต้องการซื้อในอเมริกาเหนือ
แต่เขาไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่าระบบช่วยเหลือการขับขี่ของ Tesla นั้นอยู่ในระดับใด
เว็บไซต์บอกอย่างหนึ่ง แต่ซีอีโอบอกอีกแบบที่ชวนสับสน
มัสก์กล่าวเมื่อปีที่แล้วว่า “เราไม่ได้พูดว่าระบบนั้นพร้อมสำหรับการที่ไม่ต้องอยู่หลังพวงมาลัยแล้ว แต่เพียงแค่คุณแทบไม่จำเป็นต้องแตะส่วนควบคุมรถใด ๆ”
“มันจะมีกระบวนการที่เรียกว่า march of nines ซึ่งจะเป็นการให้คะแนนถึงความพึ่งพาได้ของรถให้เรามั่นใจก่อนที่คุณจะสบายใจได้ว่ารถสามารถขับได้โดยไม่มีใครอยู่ในนั้น”
มัสก์กล่าวว่า “แต่ผมคิดว่าเราเกือบมีคะแนนมากพอที่จะทำให้รถ (ขับได้) โดยไม่มีคนอยู่ในรถได้ภายในสิ้นปีนี้ และแน่นอนว่าจะไม่มีข้อสงสัยใด ๆ ในปีหน้า”
ปัจจุบันมีแค่รถขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับ 3 เท่านั้นที่ได้รับการรับรอง
สำหรับรถขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 5 นั้นเป็นระดับสูงสุดที่กำหนดโดย Society of Automotive Engineer นั้นผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องจับพวงมาลัยหรือเหยียบแป้นใด ๆ เพราะรถสามารถขับขี่และรับมือกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ตลอดเวลา
ส่วนระดับ 4 จะเริ่มจากที่ผู้ขับขี่ขับรถด้วยตนเอง แต่สามารถเปิดระบบให้รถขับเองได้ภายหลัง โดยรถจะขับเองได้ตามสถานการณ์ที่ถูกออกแบบมาแล้วเท่านั้น
ในปัจจุบันรถขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 3 เริ่มเข้ามาแล้ว เช่น Honda ในตลาดญี่ปุ่น หรือ Mercedes-Benz ที่เริ่มมีระบบนี้ใน S-Class และ EQS แล้ว
ซึ่งในระดับนี้ ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นต้องสนใจสถานการณ์รอบตัวตลอดเวลา แต่จะต้องสามารถกลับมาควบคุมรถเมื่อเกิดสถานการณ์ฉุกเฉินได้ตลอดเวลา และในการขับขี่ระดับนี้ ผู้ผลิตรถยนต์จะยังเป็นผู้รับผิดชอบหากมีอะไรเกิดขึ้นระหว่างการเปิดระบบนี้
อ่านเพิ่มเติม : เทคโนโลยีการขับขี่อัตโนมัติระดับ 3 อาจไม่สามารถใช้งานได้จริง เพราะไปไม่สุดสักทาง ?
อย่างไรก็ตาม Tesla ยังคงต่อต้านแนวคิดที่จะใช้เซนเซอร์เข้ามาช่วยในระบบขับขี่อัตโนมัติเพิ่มเติม เช่นการนำ Lidar เข้ามาช่วยในระบบขับขี่ หรือการนำเรดาร์และเซนเซอร์อัลตราโซนิคออกไปและใช้กล้องเท่านั้นอย่างที่เรียกกันว่า Tesla Vision