• 2 รุ่นที่เหมาะสม เทียบกันได้โดยตรง
• รุ่นไฮบริดให้ออพชั่นมากกว่า แต่...
• น่าสนใจไม่แพ้รุ่นท็อป

2023 Honda CR-V (2023 ฮอนด้า ซีอาร์-วี) เปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์ครั้งที่ 44 ที่ผ่านมา พร้อมด้วยรุ่นย่อยที่รองรับทุกความต้องการ โดยมีราคาค่าตัวที่น่าสนใจ คราวนี้เรา AutoFun Thailand ได้รับโอกาสจากฮอนด้า ประเทศไทยในการทดสอบ CR-V เจนที่ 6 นี้ด้วย

การทดสอบครั้งนี้ เกิดขึ้นที่ จ. เชียงใหม่ โดยจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลัก ๆ ส่วนแรกจะเป็นการทดสอบ 2023 CR-V ในขุมพลัง 1.5 เทอร์โบ และอีกส่วนหนึ่งจะเป็นการทดสอบกับขุมพลังไฮบริด e:HEV ซึ่งทั้งสองขุมพลังจะถูกทดสอบในเส้นทางที่ต่างกัน

สื่อแต่ละท่านจะได้ทดสอบในรุ่นย่อยที่แตกต่างกันออกไป สำหรับเรานั้นได้รับโอกาสเป็นรถในรุ่นรองท็อปของทั้ง 2 ขุมพลัง นั้นคือ รุ่น e:HEV ES และรุ่น ES 4WD เมื่อทดสอบแล้ว พบว่าทั้งสองรุ่นนี้มีความน่าใช้ในแบบที่แตกต่าง ไม่แพ้รุ่นท็อปเลยทีเดียว

คันแรก 2023 Honda CR-V ES 4WD

สำหรับขาแรก เราได้มีโอกาสขับ CR-V ในขุมพลัง VTEC Turbo โดยเริ่มจากโรงแรมที่พัก ไปยังจุดเช็คพอยท์ที่ชายธารขุนแจ กาแฟขุนลาวและต่อไปยังร้านอาหาร เว-ฬา-ดี เชียงใหม่ เป็นระยะทางกว่า 119 กม. โดยขาไปจุดเช็คพอยท์จะเป็นคนขับคนแรก และขาไปร้านอาหารจะเป็นอีกคนสลับกัน

โดยเส้นทางที่ว่ามานี้ ออกแบบให้สามารถแสดงสมรรถนะของตัวรถได้อย่างเต็มที่ ในช่วงก่อนถึงเช็คพอยท์จะเป็นทางตรงยาวและต่อเนื่องไปยังทางขึ้นเนินพร้อมทางโค้งเล็กน้อยในช่วงท้าย ช่วยรีดสมรรถนะของรถได้เป็นอย่างดี

ด้วยความที่ CR-V รุ่น ES 4WD คือรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อที่มีน้ำหนักเบาที่สุด เนื่องด้วยเป็นเครื่องสันดาปล้วน ไม่มีแบตเตอรี่ถ่วงน้ำหนัก และเบาะนั่งแถวที่สามให้กวนใจ ทำให้เครื่องยนต์ 1.5 ลิตรเทอร์โบสามารถพาชาย 2 คนพร้อมสัมภาระเล็กน้อยไปได้อย่างสบาย ๆ

เครื่องยนต์และเกียร์ CVT สามารถตอบสนองต่อความต้องการของคนขับได้ดีแม้จะไม่มีโหมด Sport แต่ในรุ่นนี้ก็สามารถเปลี่ยนเกียร์ผ่าน paddle shift หลังพวงมาลัยได้แล้ว เมื่อเข้าเกียร์ S และกดปุ่ม “-” เพื่อคิกดาวน์เพื่อเร่งแซง รอบเครื่องของรถก็สูงขึ้นเหมือนรอให้เรากดคันเร่งลงไปเท่านั้น

ช่วงล่างของรถถูกเซ็ตขึ้นมาในแนวนุ่มนวล เมื่อผ่านรอยต่อถนนที่ปกติแล้วอีโค่คาร์ยอดนิยมจะต้องสะเทือนแน่ที่ความเร็วนี้ แต่ CR-V รุ่น ES 4WD ก็รูดไปได้สบาย สำหรับพวงมาลัยไฟฟ้าที่ให้มานั้นสามารถแปรผันตามความเร็วรถได้สอดคล้องกัน

ทำให้ในช่วงที่ขึ้นไปยังจุดเช็คพอยท์และขากลับลงมาซึ่งเป็นทางคดเคี้ยวที่มีความชันนั้น พวงมาลัยมีการตอบสนองได้ดี มีความคมแต่ยังให้ความสบายในแบบรถครอบครัว ช่วยให้การขับรถทางไกลไม่เหนื่อยเร็วจนเกินไปนัก

เมื่อมาถึงจุดหมาย พบว่า อัตราสิ้นเปลืองนั้นต่างจากค่าเฉลี่ยที่ให้ไว้พอสมควร โดยเราทำได้เพียง 9.8 กม./ลิตร ขณะที่ฮอนด้าเคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยสูงสุดของรุ่นเทอร์โบ (2WD) ไว้ที่ 14.3 กม./ลิตร (รุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อที่ 13.5 กม./ลิตร) 

แต่เป็นอัตราสิ้นเปลืองที่เข้าใจได้ เนื่องด้วยเส้นทางที่ขึ้นเขา และเส้นทางตรงยาวที่ใช้ความเร็วพอสมควร

คันที่สอง 2023 Honda CR-V e:HEV ES

หลังจากได้รับประทานอาหารกลางวันที่ร้าน เว-ฬา-ดี แล้ว ถึงคราวที่ต้องเปลี่ยนมายังรถที่มีขุมพลังที่ต่างไป คราวนี้ แม้เราอาจไม่ได้ขับขี่รุ่นท็อป e:HEV RS อย่างที่ตั้งใจไว้ แต่ก็พบว่ารุ่น e:HEV ES ก็ให้ประสบการณ์ที่ดีไม่แพ้กัน มีหลายจุดที่คนมองข้าม อาจไม่จำเป็นต้องเพิ่มเงินไปซื้อรุ่น RS ก็ได้

สัมผัสแรกของการขับขี่ในรุ่น e:HEV ES เครื่องยนต์ไฮบริด ขับเคลื่อนสองล้อหน้าคือ มีความ “นวล” มากกว่ารุ่นเทอร์โบที่จะให้ความรู้สึกสปอร์ตมากกว่าเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเสียงเครื่องยนต์ที่เข้ามายังห้องโดยสารที่มากกว่า

แม้จะขับเคลื่อนด้วยสองล้อหน้า แต่ e:HEV ES ก็มีอัตราเร่งที่ตอบสนองได้ดั่งใจ บางสถานการณ์รู้สึก “ติดเท้า” มากกว่ารุ่นเทอร์โบเสียด้วยซ้ำ เนื่องด้วยความช่วยเหลือจากมอเตอร์ไฟฟ้า

เส้นทางคดเคี้ยวกว่า

เส้นทางการขับขี่ จะเริ่มจากร้านอาหารเมื่อกลางวันไปยังจุดแวะพักที่ร้าน WTF Coffee Camp ลักษณะเส้นทางจะเน้นขึ้นเขาและคดเคี้ยวกว่าของรุ่นเทอร์โบขึ้นไปอีกระดับ อาจเพื่อแสดงถึงประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ไฮบริด e:HEV ว่ายังคงประหยัดแม้จะขับในเส้นทางเช่นนี้

ระหว่างการขับขี่ขาขึ้นไปยังจุดแวะพักพบว่า เครื่องยนต์ e:HEV ตอบสนองได้ดีเมื่อเร่งแซง ในแบบที่ไม่ต้องลุ้นใด ๆ อาศัยเพียงจังหวะที่ดีของผู้ขับเท่านั้น และถึงแม้จะขับเคลื่อนด้วย 2 ล้อหน้าเท่านั้นก็ไม่ทำให้การตอบสนองต่อทางโค้งแย่ลงแต่อย่างใด

ช่วงล่างของรถถูกเซ็ตออกมาคล้ายกับรุ่นเครื่องยนต์เทอร์โบ แต่เมื่อแบกน้ำหนักที่เพิ่มขึ้นของแบตเตอรี่ จึงทำให้ตัวรถรู้สึกนิ่งขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นเทอร์โบ

สำหรับขาลงจากร้าน WTF มายังโรงแรมที่พักในเมืองของเราจะถูกเปลี่ยนมือคนขับ เนื่องจากเป็นเส้นทางลงเขา จึงได้ลองใช้ regenerative braking ของรถ ที่สามารถปรับความหนึดได้จะปุ่มบวกลบหลังพวงมาลัย พบถึงความยืดหยุ่นที่มากกว่า one paddle (หรือ e-paddle) แบบรถไฮบริดและรถไฟฟ้าคันอื่น เพราะปรับได้หลายระดับตามความต้องการ

เมื่อกลับมาถึงที่พัก เราพบถึงอัตราสิ้นเปลืองที่น่าพอใจที่ 17.4 กม./ลิตร ในระยะทางกว่า 77 กม. (ตามกำหนดการ) โดยทางฮอนด้าเคลมอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยสูงสุดของรุ่น e:HEV ไว้ที่ 20.8 กม./ลิตร ซึ่งไม่ได้ต่างจากที่เคลมไว้มากมายนัก แถมเส้นทางที่จัดไว้ยังท้าทายอีกด้วย

จุดเด่นของพระรอง

สำหรับการทดลองขับสั้น ๆ ในรุ่นพระรอง e:HEV ES ขุมพลังไฮบริดและ ES 4WD ขุมพลังเทอร์โบ พบว่ามีจุดเด่นที่คนที่เล็ง CR-V เจนที่ 6 นี้ไม่ควรมองข้าม

โดย CR-V ES 4WD จะมีข้อดีที่ให้ความรู้สึกแบบรถน้ำมันอย่างเต็มที่ ทั้งเสียงของเครื่องยนต์ ยิ่งเฉพาะในโหมด S บวกกับน้ำหนักรถที่เบากว่า พร้อมระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ ตอบสนองการขับขี่ของพ่อบ้านสายซิ่งได้อย่างดี แต่อาจต้องพิจารณาเรื่องอัตราสิ้นเปลืองกันเล็กน้อย

ส่วน CR-V e:HEV ES ขุมพลังไฮบริดก็ยังให้สมรรถนะที่ดีไม่แพ้กัน แม้จะด้อยกว่าตรงที่มีระบบขับเคลื่องเพียง 2 ล้อหน้า แต่ก็เพียงพอกับการใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป ขับรถออกต่างจังหวัดบ้างบนทางหลวงบ้าง ไม่ได้ลุยมากมาย แถมยังมีอตราสิ้นเปลืองที่น่าพอใจ เป็นมิตรกับเงินในกระเป๋า

โดยรวมแล้ว ทั้ง 2 รุ่น 2 ขุมพลังมีการขับขี่ในภาพรวมที่สะดวกสบายทั้งคู่ สามารถควบคุมรถได้คล่องแคล่วแม้ตัวรถจะไม่ได้เล็กนัก เครื่องยนต์ตอบสนองต่อผู้ขับขี่ได้ดี พื้นที่ในรถกว้างสบาย เหมาะแก่การเดินทางไกลเป็นอย่างยิ่ง

แต่สิ่งที่ยังขัดใจอยู่ คือ ถึงแม้จะให้กล้องรอบคันมาให้แล้ว แต่ระบบช่วยเตือนมุมอับอย่าง Blind Spot Monitoring หรือ Rear Cross Traffic Alert ยังไม่มีมาให้ แต่ยังคงให้ Honda LaneWatch มาให้ ซึ่งจากที่สอบถามสื่อท่านอื่นรวมถึงประสบการณ์ของตัวเองแล้วก็พบว่ายังหน้าที่ลดมุมอับได้ไม่ดีเท่าที่ควร

ส่วนต่างเพียง 10,000 บาท ที่รุ่นไฮบริดถูกกว่า

สำหรับ 2023 CR-V ทั้งรุ่น e:HEV ES และ ES 4WD อาจสามารถเทียบได้โดยตรงเลยก็ว่าได้ ด้วยส่วนต่างที่รุ่น e:HEV ES จะถูกกว่าเพียง 10,000 บาทเท่านั้น แต่ก็มาพร้อมออพชั่นที่มากกว่า เพราะรุ่นไฮบริดจะคิดอัตราภาษีที่ต่ำกว่า

อุปกรณ์ที่รุ่น e:HEV ES ให้มากกว่า เช่น เซนเซอร์หน้า-หลัง ระบบฟอกอากาศ Plasma Cluster ที่เหมาะกับอากาศและพื้นที่ในช่วงที่เราทดสอบมาก ไปจนถึงล้อลายเดียวกันกับรุ่นเทอร์โบแต่พ่นสีดำมาให้เพิ่มความสปอร์ต แต่ทั้งหมดนี้แลกมากับระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้าซึ่งอาจจำเป็นสำหรับคนที่ต้องใช้เท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การทดสอบครั้งนี้เป็นการทดสอบสั้น ๆ ใน 1 วัน ซึ่งไม่ได้ครอบคลุมในทุกมิติของตัวรถ ทั้งในด้านประโยชน์ใช้สอย การใช้งานในชีวิตประจำวัน หากพวกเรามีโอกาสนำรถมาทดสอบใช้จริงยาว ๆ อีกครั้ง อาจได้เห็นมิติต่าง ๆ ของตัวรถมากยิ่งขึ้น