review 2023 Honda WR-V Thailand

• สัมผัสแรกของ Honda WR-V ในไทย
• ชอบช่วงล่างและอัตราประหยัดน้ำมัน
• แต่ราคาอาจจะทำให้ตัดสินใจได้ยาก

2023 Honda WR-V (ฮอนด้า ดับเบิลยูอาร์-วี) คือสินค้ารุ่นแรกของ Honda (ฮอนด้า) ที่เปิดตัวในประเทศไทยในปี 2566 หลังจากที่มีข่าวมาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ปาดหน้ารถรุ่นยอดนิยมทั้ง 2023 Honda CR-V (ฮอนด้า ซีอาร์-วี) ที่มีคิวจะเปิดตัวช่วงสัปดาห์หน้า และ 2023 Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) ที่น่าจะใช้เวลาอีกสักพักในการเตรียมตัวที่จะเข้ามาเปิดตัวในบ้านเรา

แม้ประเทศไทยอาจจะไม่คุ้นชินกับรถในเซกเมนต์ A-SUV ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศต้นทางอย่างอินโดนีเซีย และฮอนด้าก็เป็นผู้นำในเซกเมนต์นี้ด้วยส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 40% ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา ทำให้มียอดจองไปมากกว่า 5,000 คันหลังการเปิดตัว 3 เดือนแรก เหนือกว่าคู่แข่งอย่าง Toyota Raize (โตโยต้า ไรซ์) และ Daihatsu Rocky (ไดฮัทสุ ร็อคกี้) พอสมควร

อย่างไรก็ตาม การเปิดตัวในประเทศไทยได้เรียกเสียงฮือฮาทางด้านการตั้งราคา เพราะฮอนด้าตั้งราคาจำหน่ายในรุ่นเริ่มต้นที่ 7.99 แสนบาทและรุ่นท็อปที่ 8.69 แสนบาท ทำเอาบรรดาชาวเนตที่ยังไม่ได้มีโอกาสได้สัมผัสกับตัวรถพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า 'แพง' เพราะราคาจำหน่ายนั้นอยู่ค่อน ๆ ไปทางมินิ เอ็มพีวี 7 ที่นั่งตัวท็อปในตลาด ซึ่งก็มีผู้ท้าชิงรอปะทะอยู่หลายรายเหมือนกัน

เอาจริง ๆ ถามว่าราคาจำหน่ายแพงหรือไม่ หากเทียบราคาจำหน่ายกับในประเทศต้นกำเนิดอย่างอินโดนีเซียก็จะพบว่ามีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่าพอสมควร (คันละเป็นแสนนะ) แถมรถเวอร์ชั่นนี้ก็เป็นแบบนำเข้าสำเร็จรูปมาจำหน่ายเลยโดยที่ไม่ต้องปรับอะไรอีกแล้ว แต่จะบอกว่าฮอนด้าไม่ได้ตั้งใจทำตลาดรถรุ่นนี้ก็คงไม่ใช่แน่ เพราะเป้าหมายการขายก็สูงถึงเดือนละ 500 คันเลยทีเดียว

หรือหากมองในความมั่นใจของฮอนด้าเอง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเซกเมนต์ใหม่ให้ตลาด ออพชั่นที่ไม่เป็นรองใคร ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร 121 แรงม้า 142 นิวตันเมตร พร้อมด้วยการติดตั้งระบบความปลอดภัย Honda SENSING ในทุกรุ่นย่อยมาให้เลย ก็เชื่อว่าจะทำให้ผู้บริโภคที่อยากได้เอสยูวีขนาดเล็ก ไม่ต้องการเบาะที่นั่งแถว 3 แต่เน้นอุปกรณ์ครบครัน ตัดสินใจได้ง่ายขึ้น

ส่วนรถจะดีหรือไม่ ขับขี่แล้วเป็นอย่างไรนั้น มาลองไปพร้อม ๆ กันได้เลย...

ขับมาแล้วชอบช่วงล่าง กระชับ แม่นยำ และคล่องแคล่ว

แม้จะมีจุดที่ชื่นชอบหลายจุด แต่สิ่งที่เทคะแนนให้มากที่สุดก็คือในส่วนของช่วงล่างของรถยนต์ ที่มีความนุ่มนวลเหมาะสมสำหรับการใช้งานในเมือง และออกไปนอกเมืองก็ยังให้สมรรถนะที่ดี ด้วยกราวด์เคลียร์แรนซ์ที่สูง 220 มิลลิเมตร ผสานการทำงานของช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท แต่ยังสัมผัสได้ถึงความตึงตังของทอร์ชั่นบีมด้านหลังอยู่บ้าง ประกอบกับยางแบบอีโคก็ยังมีอาการส่าย ๆ และเสียงดังบ้างในบางพื้นผิวถนน ขณะที่พวงมาลัยคม ควบคุมรถได้ง่าย และให้ความคล่องตัวสูง ด้วยวงเลี้ยวที่แคบมาก ไม่ว่าจะเป็นการเปลี่ยนเลนรถยนต์ในขณะขับขี่หรือเลี้ยวกลับรถก็ทำได้อย่างง่ายดาย

อ่านเพิ่มเติม: เจาะ 2 รุ่นย่อย 2023 Honda WR-V เลือกตัวท็อปเลยดีไหม?

เครื่องยนต์ใช้งานคล่อง มีลากรอบนิดหน่อย ขับสนุกเหมาะกับตัว

หลายคนอาจจะมีคำถามเกี่ยวกับเครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 121 แรงม้า 142 นิวตันเมตร ที่จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติแบบซีวีที ซึ่งแม้จะเป็นออพชั่้นที่หลายคนคิดว่าเริ่มล้าสมัย แต่เอาจริง ๆ เมื่ออยู่กับรถคันนี้ ก็ยังให้การตอบสนองที่โดดเด่น แม้จะมีอาการลากรอบเมื่อออกตัวรถหรือกดคันเร่งเพื่อเร่งแซงแบบเร่งด่วนอยู่ให้เห็น แต่การที่ฮอนด้าทำการติดตั้งแพดเดิลชิฟท์มาให้กับดับเบิลยูอาร์-วี ทำให้มีทางเลือกในการเลือกใช้ควบคุมรถได้มากขึ้น การทำความเร็วของรถในช่วงเริ่มต้นถึงกลางนั้นทำได้อย่างง่ายดาย ถ้าไม่ได้เอาไปรีดความเร็วแบบเอาเป็นเอาตาย ขับอยู่แถว ๆ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้นถือว่าสบายใจหายห่วง

ออพชั่นให้มาสมราคา แน่นอนว่าทำให้ราคาสูง แต่ก็น่าสนใจ

หลาย ๆ คนที่บอกว่าราคาจำหน่ายของรถรุ่นนี้สูงนั้น แน่นอนว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายของฮอนด้าเองที่จัด Honda SENSING 6 ระบบติดตั้งมาในรถทุกรุ่นย่อย ทำให้ต้นทุนของการพัฒนาสินค้านั้นสูงเด่นขึ้นไปอีก ทำให้ราคาของรถเป็นไปอย่างที่หลาย ๆ คนบอกว่าแพง แต่หากมองจริง ๆ แล้วก็ต้องถือว่าเป็นจุดขายหลักที่ทำให้รถยนต์ของฮอนด้ามีความโดดเด่นขึ้นมานอกเหนือจากการเป็นเอสยูวีขนาดเล็ก และทำให้ฮอนด้าสามารถเบ่งรถยนต์รุ่นนี้ออกมาให้ทำตลาดได้อย่างหลากหลาย และไล่ชนกับคู่แข่งได้ในหลายเซกเมนต์ ซึ่งหากเป็นลูกค้าที่ต้องการของเล่นมาก ๆ ในรถก็ถือว่าน่าพอใจในระดับหนึ่งเลยทีเดียว

อ่านเพิ่มเติม: เปิดตัว 2023 Honda WR-V ในไทย พร้อมหัวใจไร้ไฮบริด เคาะราคา 7.99-8.69 แสนบาท

อัตราการประหยัดน้ำมันที่น่าสนใจ ทำได้ดีในทุกย่านความเร็ว

ฮอนด้าระบุว่ารถยนต์รุ่นนี้ได้รับการปรับแต่งมา ด้วยการเน้นเรื่องของการให้อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ดีเยี่ยม โดยฮอนด้าได้ระบุอัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ยของรถคันนี้เอาไว้ที่ 16.7 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งในการขับขี่จริงนั้น ตัวเลขที่ขึ้นแสดงบนหน้าจอแสดงผลของรถจะอยู่ที่ระดับตั้งแต่ 17-19 กิโลเมตรต่อลิตร ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการสิ้นเปลืองที่น่าสนใจ เพราะการทดสอบนั้นมีการใช้ความเร็วที่ค่อนข้างสูงตลอดเวลา และมีการขับขี่ที่ไม่น่าจะส่งผลดีต่ออัตราการสิ้นเปลือง เช่น การคิกดาวน์หรือการเร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากฮอนด้ามองว่าอัตราสิ้นเปลืองคือโจทย์ในการออกแบบรถยนต์คันนี้ ก็ถือได้ว่าประสบความสำเร็จพอสมควร

แล้วมีอะไรที่เราไม่ชอบในรถคันนี้บ้าง เรื่องจุกจิกสำหรับผู้บริโภค

มีหลายจุดเหมือนกันที่เราไม่ค่อยชอบในรถคันนี้ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องออพชั่นของรถที่ให้มาอย่างไม่ครบครัน หรือทำให้ผู้บริโภคอยากได้มากกว่า เช่น พวงมาลัยที่สามารถปรับได้แค่ขึ้น-ลง เข็มขัดนิรภัยด้านหน้าที่ไม่สามารถปรับระยะสูง-ต่ำได้ หรือแม้แต่ที่นั่งด้านหลังที่มาพร้อมที่เท้าแขนแต่ไม่มีที่วางแก้วมาให้ ระบบชาร์จไฟด้านหลังที่ยังเป็นช่องชาร์จไฟ 12 โวลต์อยู่ ทั้งที่จริง ๆ ควรจะเป็นยูเอสบี พอร์ตได้แล้ว ขณะที่ออพชั่นที่ฮอนด้าภาคภูมิใจอย่าง Honda LaneWatch ก็ยังเป็นหน้าจอที่ไม่ชัดเจนเหมือนรถรุ่นอื่น ๆ ขณะที่เบาะที่นั่งทุกตำแหน่งที่ดูแบแบ และดันหลังมากเกินไปสักนิด ก็น่าจะทำให้ไม่ค่อยสบายเวลาเดินทางไกลเหมือนกัน

สรุปแล้วชอบนะ แต่ราคาก็อาจจะเป็นจุดที่ต้องตัดสินใจ

โดยรวมความของการทดสอบวันนี้ โดยส่วนตัวชื่นชอบการตอบสนองของรถที่โดดเด่นในทุกย่านความเร็ว ช่วงล่างออกแบบมาได้เหมาะเจาะกับการใช้งานในเมือง ให้ความคล่องตัวและการยกสูงที่ใช้งานได้อย่างหลากหลาย ออพชั่นที่ให้มาไม่แพ้คู่แข่ง แต่สิ่งที่ทำให้หลายคนอาจจะชะงักงันไปบ้างก็คือเรื่องของราคาจำหน่ายที่เรียกว่าสูงโดดเด่นกว่าใคร เมื่อเทียบกับคู่แข่งที่มีขนาดใหญ่กว่าเสียด้วยซ้ำ อาจจะทำให้ลูกค้าหลายรายมองเปรียบเทียบกับคู่แข่งรายอื่น ๆ ในตลาด และอาจจะปรับเปลี่ยนเป้าหมายไปหารถยนต์คันอื่น ๆ ในระดับราคาเดียวกัน ที่ถือว่ามีช่องว่างให้เลือกได้อย่างหลากหลายและมีความโดดเด่นแตกต่างกันออกไป

แต่หากอยากได้ความสบายใจ ไม่ว่าจะเครื่องเบนซิน นั่งสบาย สไตล์ฮอนด้า คันนี้ก็น่าสนใจอยู่นะ...