2019 Subaru Forester (2019 ซูบารุ ฟอเรสเตอร์) แม้จะเป็นเอสยูวีขนาดเดียวกับคู่แข่งจากญี่ปุ่นหลายค่าย แต่ย้อนไปในอดีต พวกเขาไม่เคยถูกนำมาเปรียบเทียบกันได้เลย เนื่องจากรถรุ่นนี้เป็นรถยนต์นำเข้า ทำให้ราคานั้นแพงลิบลิ่ว เมื่อต้องเทียบกับคู่แข่งที่มีการผลิตในโรงงานในประเทศไทยทั้งหมด
จนกระทั่งเมื่อตันจง กรุ๊ป ตัดสินใจเลือกประเทศไทยเป็นหนึ่งในฐานการผลิตรถของพวกเขา และตัดสินใจใช้โรงงานในประเทศไทยทำการผลิตฟอเรสเตอร์อย่างเป็นทางการเป็นรุ่นแรก ทำให้ราคาจำหน่ายของฟอเรสเตอร์นั้น ลงมาซัดกับคู่แข่งได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ด้วยราคาเริ่มต้น 1.33 ล้านบาท
และคู่ท้าชิงที่ดูท่าทางจะเหมาะสมที่จะประมือด้วยที่สุด ก็คงหนีไม่พ้นเจ้าตลาดอย่าง 2020 Honda CR-V (2020 ฮอนด้า ซีอาร์-วี) ที่เพิ่งทำการปรับโฉมไปในงานมอเตอร์โชว์ที่ผ่านมา พวกเขามีทางเลือกมากมาย ทั้งเครื่องยนต์เบนซินและดีเซล เบาะที่นั่งแบบ 5 และ 7 ที่นั่ง เรียกว่ากินตลาดอย่างกว้าง
ซีอาร์-วี นั้น แม้จะทำการปรับราคาจำหน่ายขึ้นมาเรื่อย ๆ แต่พวกเขาก็ยังถือว่าเป็นขวัญใจของลูกค้ากลุ่มเอสยูวีสำหรับครอบครัว ที่ต้องการรถที่ไว้ใจได้ทั้งเรื่องการใช้งานและการให้บริการที่โดดเด่น และพวกเขาเองก็มีการปรับปรุงสินค้าของตัวเองให้ทันสมัยและสดใหม่อยู่ตลอดเวลา
AutoFun ขอหยิบเจ้า Subaru Forester 2.0 i-S Eyesight AWD เจ้าของค่าตัว 1.45 ล้านบาทและ Honda CR-V 2.4 ES 4WD เจ้าของค่าตัว 1.529 ล้านบาท ด้วยการเป็นรถเอสยูวี ขับเคลื่อนสี่ล้อ เครื่องยนต์เบนซิน และมี 5 ที่นั่งเท่ากัน ราคาห่างกันไม่ถึง 1 แสนบาท ถ้าเป็นคุณจะเลือกคันไหนกันนะ
มิติตัวถังและการตกแต่งภายนอก
ซูบารุ ฟอเรสเตอร์ มาพร้อมหน้าตาดุดันแบบเอสยูวีแท้ ๆ โดยมีมิติตัวถังกว้าง 1,815 มิลลิเมตร ยาว 4,625 มิลลิเมตร สูง 1,730 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,670 มิลลิเมตร โดยมีระยะต่ำสุดถึงพื้น 220 มิลลิเมตร เรียกว่ามีขนาดที่เหมาะสมสำหรับการขับขี่ทั้งในเมืองและออฟโรดได้อย่างสะดวกสบาย
ภายนอกมาพร้อมสีตัวถังแบบทูโทน สีพื้นตัดกับอุปกรณ์ตกแต่งสีเงินรอบคันรถ ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 225/55 R18 ติดตั้งราวหลังคาพร้อมใช้งาน สปอยเลอร์หลังคาและเสาอากาศแบบครีบฉลาม กระจังหน้า แบบเปิด-ปิด อัตโนมัติ กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยว ปรับและพับ ด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบไล่ฝ้า
ไฟหน้าโปรเจคเตอร์ เลนส์แบบแอลอีดี มาพร้อมระบบปรับระดับสูง-ต่ำ และระบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ ปรับตามทิศทางการเลี้ยว มาพร้อมที่ฉีดน้ำล้างไฟหน้า ไฟตัดหมอกคู่หน้าและไฟส่องสว่างเวลากลางวัน แบบแอลอีดี มาพร้อมไฟตัดหมอกหลัง ติดตั้งระบบปัดน้ำฝนแบบอัตโนมัติมาให้เรียบร้อย
ฮอนด้า ซีอาร์-วี ยังรักษารูปร่างหน้าตาแบบรถใช้งานในเมืองเอาไว้ แม้จะเพิ่มความดุดันของชุดแต่งเข้ามามากขึ้น โดยมีมิติตัวถังกว้าง 1,855 มิลลิเมตร ยาว 4,571 มิลลิเมตร สูง 1,667 มิลลิเมตร และมีระยะฐานล้อยาว 2,660 มิลลิเมตร โดยมีระยะต่ำสุดถึงพื้น 208 มิลลิเมตร เน้นด้านการขับขี่ในเมืองเป็นหลัก
การเปลี่ยนแปลงภายนอกนั้นเน้นให้มีความดุดันมากขึ้น ด้วยการเปลี่ยน กระจังหน้า กันชนหน้าและกันชนหลังใหม่ พร้อมโครเมียมแบบรมดำรอบคัน พร้อมเปลี่ยนโคมไฟด้านหน้าและด้านท้ายเป็นแบบรมดำเช่นกัน ปรับมาใช้ไฟเลี้ยวโคมไฟหน้า แบบใหม่ และใช้ไฟตัดหมอกแบบแอลอีดี
ติดตั้งหลังคากระจกพาโนรามิก ซันรูฟ เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า มาพร้อมล้ออัลลอยดีไซน์ใหม่ ขนาด 18 นิ้ว พร้อมยาง 235/60 R18 กระจกมองข้าง ปรับและพับด้วยไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว สปอยเลอร์หลัง ฝาท้าย เปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า และเปิดได้โดยไม่ต้องใช้มือ พร้อมด้วยเสาอากาศแบบครีบฉลาม
ถ้าบอกว่าซูบารุออกแบบฟอเรสเตอร์มาเป็นสายลุยเต็มพิกัด ฮอนด้านั้นก็เติมความหรูหราให้กับซีอาร์-วีอย่างเต็มที่เช่นกัน และมองแล้วก็จะเห็นความต่างของรถสองคันนี้พอสมควร อยู่ที่ว่า การใช้งานของคุณนั้นต้องการภาพลักษณ์ที่โดดเด่นด้านไหนมากกว่ากัน ก็ต้องตัดสินใจกันดู
ห้องโดยสารที่แตกต่างกันพอตัว
ซีอาร์-วี นั้นได้ทำการปรับเพิ่มอุปกรณ์เอาใจสายใช้งานในชีวิตประจำวัน ด้วยการติดตั้งอุปกรณ์ชาร์จโทรศัพท์แบบไร้สาย กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ และระบบบันทึกความจำตำแหน่งเบาะนั่งคนขับ ซึ่งก็ทำให้ห้องโดยสารของพวกเขามีความครบครันมากขึ้นไปอีกระดับ
ห้องโดยสารตกแต่งเน้นสีดำตัดกับลายไม้และวัสดุผิวดำมัน เบาะที่นั่งหุ้มหนังสีดำ ปรับไฟฟ้า 8 ทิศทางที่ตำแหน่งคนขับ พนักพิงของเบาะแถว 2 ปรับเอนได้ และแยกพับอิสระ 60:40 ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารแถว 2 หลังกล่องคอนโซลกลาง
ระบบความบันเทิงเต็มรูปแบบ ด้วยเครื่องเสียงหน้าจอระบบสัมผัส ขนาด 7 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแอปเปิล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ ระบบสั่งการด้วยเสียง ปุ่มควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย ช่องเชื่อมต่อยูเอสบี 4 ตำแหน่ง มาพร้อมระบบนำทางและระบบควบคุมเสียงรบกวนเข้าห้องโดยสาร
ฟากฟอเรสเตอร์มาพร้อมห้องโดยสารที่ดูโอ่อ่าน้อยกว่า และมีอุปกรณ์ที่ไม่เท่าเทียม แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งาน เบาะนั่งหุ้มด้วยหนัง สีดำ ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทางที่ตำแหน่งคนขับและผู้โดยสารด้านหน้า เบาะนั่งด้านหลัง แยกพับอิสระ 60:40 พร้อมปรับเอนได้ และมีที่วางแก้วตรงที่เท้าแขนเบาะหลัง
ติดตั้งคันโยกพับเบาะนั่งด้านหลังจากที่เก็บสัมภาระ พรอ้มแผ่นปิดที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่ถอดเก็บได้ ติดตั้งระบบเปิด-ปิดฝาท้าย ด้วยระบบไฟฟ้า พร้อมฟังก์ชั่นบันทึกตำแหน่ง เพิ่มความสปอร์ตด้วยแป้นเหยียบแบบอะลูมิเนียม พร้อมแป้นเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัย เพิ่มความสะดวกในการขับขี่
รถคันนี้มาพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูลอเนกประสงค์ บริเวณแดชบอร์ดหน้า ที่เน้นแสดงผลของการขับขี่ด้วยรูปแบบต่าง ๆ เพื่อให้ผู้ขับขี่รับรู้ถึงสภาพของรถทั้งหมด ระบบเบรกมือไฟฟ้า พร้อม Auto Vehicle Hold ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ แยกอิสระซ้าย-ขวา พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง
เอาจริง ๆ ถ้าวัดกันฟังชั่นส์ต่อฟังชั่นส์ ถือว่าแทบจะไม่ได้แตกต่างกันมาก ยกเว้นหลัก ๆ ก็คือหลังคากระจกกับแท่นชาร์จไร้สายที่ต่างกันชัดเจน เพียงแต่การจัดวางรูปแบบของอุปกรณ์และบรรยากาศภายในห้องโดยสารที่ทำให้เรารู้สึกว่ามันแตกต่างกันมาก อันนี้ก็ต้องถามใจแล้วล่ะว่าชอบแบบไหนกัน
เครื่องยนต์และระบบด้านการขับขี่
ซูบารุนั้นโด่งดังเรื่องเครื่องยนต์บอกเซอร์ของพวกเขา ที่ว่ากันว่าให้สมรรถนะที่ดีเยี่ยม แรงสั่นสะเทือนต่ำ รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ Symmetrical All-Wheel Drive ก็ยังเป็นจุดขายสำหรับขาลุยมาโดยตลอด เพราะฉะนั้นไม่แปลกอะไรที่ทั้งสองอย่างที่ว่าจะมาอยู่ในรถฟอเรสเตอร์ตันนี้
เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบนอน ความจุ 1,995 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 156 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 196 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ ลิเนียร์ทรอนิก ซีวีที ผ่าระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ สิ่งที่ต้องระวังก็คือเครื่องยนต์รุ่นนี้รองรับน้ำมันเชื้อเพลิงสูงสุดแค่แก๊สโซฮอล์ อี10 เท่านั้น
เมื่อติดตั้งระบบ Eyesight เข้าไปก็จะทำให้รถมีความปลอดภัยมากขึ้น ด้วยระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในจุดอับสายตา ระบบเตือนเมื่อมีรถตัดผ่านขณะถอยหลัง กล้องมองภาพมุมมองด้านข้าง ระบบเบรกอัตโนมัติก่อนการชน ระบบควบคุมความเร็วรถอัตโนมัติแบบแปรผัน
ระบบถอนคันเร่งก่อนการชน ระบบเตือนเมื่อออกจากเลน ระบบเตือนเมื่อขับรถส่าย และระบบเตือนเมื่อการจราจรเคลื่อนที่
นอกจากนี้ ระบบป้องกันพื้นฐานก็ถือว่าไม่แพ้ใคร มาพร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบควบคุมแรงบิดอัตโนมัติ เมื่อเข้าโค้ง ไฟเบรกกะพริบฉุกเฉินเมื่อเบรกกระทันหัน ระบบป้องกันรถไหล พร้อมด้วยถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง
ฮอนด้านั้นไม่ได้เปลี่ยนเครื่องยนต์เบนซินของซีอาร์-วี แต่ยังคงใช้เครื่องยนต์เบนซิน ไอ-วีเทค 4 สูบแถวเรียง ความจุ 2,356 ซีซี. ที่ให้กำลังสูงสุด 173 แรงม้าที่ 6,200 รอบต่อนาที พร้อมแรงบิดสูงสุด 224 นิวตันเมตรที่ 4,000 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติซีวีที ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ โดยเครื่องยนต์รองรับแก๊สโซฮอล์ อี85
ในรุ่นนี้ไม่ได้ทำการติดตั้งฮอนด้า เซนส์ซิ่งมาให้ แต่ก็ถือว่ามีอุปกรณ์ที่พอเพียง โดยมาพร้อมระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ระบบกระจายแรงเบรก ระบบเสริมแรงเบรก ระบบช่วยควบคุมการบังคับพวงมาลัย ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว ระบบป้องกันการลื่นไถลและระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน
นอกจากนี้ ก็ยังมีระบบสัญญาณไฟฉุกเฉินเมื่อเบรกกะทันหัน ระบบเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ ระบบตรวจจับความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ พร้อมด้วยกล้องมองภาพขณะถอยจอด ปรับมุมมองได้ 3 ระดับ ระบบเตือนเมื่อมีรถอยู่ในมุมอับสายตา รวมถึงถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่งดูแลผู้โดยสารรอบคัน
ดีกันไปคนละด้าน เลือกยากอยู่เหมือนกัน
ต้องบอกก่อนว่าการนำรถ 2 คันนี้มาเปรียบเทียบกันนั้น มองไปที่เรื่องของฟังชั่นส์การใช้งานที่มีความใกล้เคียงกันมากที่สุด และแน่นอนว่าราคาก็มีความใกล้เคียงกันมากเช่นกัน หากจะไปเอาฟอเรสเตอร์รุ่นที่ไม่มีอายไซต์มาเปรียบ ราคาก็จะถูกลงไปอีก 7 หมื่น กลายเป็นเอารถคนละราคา คนละตลาดมาท้าชนให้บ่นกันได้อีก
หรือถ้าจะบอกให้ทำไมไม่เอาซีอาร์-วี รุ่นที่มีเซนส์ซิ่งมาเทียบ ก็ดูราคาลอยโดดเด่นขึ้นไปอีกนิด เอาเป็นว่าถ้ามันมากหรือน้อยไป ก็ลองไปขยับเอาตามงบประมาณดู Subaru Forester นั้นเป็นรุ่นท็อปละ จะมีก็แต่จ่ายเงินเพิ่มอีก 1 แสนบาท เลือกเวอร์ชั่นที่เป็นชุดแต่งจีที ก็จะได้บรรยากาศแนว ๆ สปอร์ตมากขึ้นไปอีกแบบ
แต่ Honda CR-V นั้น พวกเขายังมีทั้งทางเลือกอื่น ๆ เช่น เบนซินและดีเซล 7 ที่นั่ง ที่มาพร้อมออพชั่นที่มากขึ้นไปอีก ถ้าจะให้สรุปแบบไวไว ตัดเรื่องศูนย์บริการกันไปเลย ใช้ในเมืองเลือกซีอาร์-วี แต่ถ้าจะหาเวลาไปลุยป่าเขาได้บ้าง ฟอเรสเตอร์น่าจะตอบสนองการใช้งานแบบดุดันได้ดีกว่า แต่ถ้าเสียก็ซ่อมนานกว่าแพงกว่าด้วยนะ
ของแบบนี้ต้องดูที่การใช้งานเป็นหลัก ขับดีทั้งคู่ ดูที่ความต้องการกันไปเลย