CEO Honda เชื่อ รถเครื่องยนต์สันดาปจะยังอยู่ไปได้อีกนาน อย่างน้อยก็เกินปี 2040

Toshihiro Mibe ซีอีโอใหญ่แห่ง Honda (ฮอนด้า) ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการให้สัมภาพณ์กับสำนักข่าว Reuters

ว่าเทคโนโลยีของเครื่องยนต์สันดาปภายใน ไม่น่าจะหายไปอย่างน้อยก็ปี 2040 หรือไม่ก็นานกว่านั้น จากปัญหาเครือข่ายการชาร์จ

"โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จนั้นดูยังไม่เข้าที่เข้าทางสำหรับลูกค้าของเรา" เขากล่าว ซึ่งนี่ไม่ใช่ข้อถกเถียงใหม่เลย และมันเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้บริหารระดับสูงของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ต้องยอมรับความจริงนี้ รวมถึงจากการที่ทั่วโลกเริ่มผลักดันรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น

Mibe ยังแสดงความเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาแยกความแตกต่างระหว่างความชอบส่วนตัว กับอุตสาหกรรมโดยรวม "ผมอยู่ในธุรกิจการพัฒนาเครื่องยนต์มากว่า 30 ปี โดยส่วนตัวแล้วมันก็ค่อนข้างน่ากลัว แต่ผมต้องแยกความรู้สึกของตัวเองออกจากสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับธุรกิจ"

พัฒนาไกลแล้ว

ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นเองก็ได้พัฒนาการใช้พลังงานไฟฟ้าไปอย่างก้าวกระโดด ในเดือนมกราคม Honda และ LG Energy ได้ประกาศสร้างโรงงานแบตเตอรี่แห่งใหม่ร่วมกันใกล้กับเมืองโคลัมบัส รัฐโอไฮโอ โดยมีกำหนดจะเริ่มการผลิตในปี 2025

ก่อนหน้านี้ บริษัทก็ได้ลงทุนกว่า 700 ล้านดอลลาร์ในโรงงาน 3 ใน 5 แห่งในโอไฮโอ รวมถึงโรงงาน Marysville ซึ่งเป็นที่ผลิต Honda Accord (ฮอนด้า แอคคอร์ด) และ Honda Civic (ฮอนด้า ซีวิค) ในสหรัฐ

เมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว Honda และ Sony ได้ประกาศความร่วมมือครั้งสำคัญในการพัฒนารถ EV โดยมีเป้าหมายที่จะวางขายในปี 2026 ทีจะใช้แพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นใหม่ภายในบริษัท อย่างไรก็ตาม ครอสโอเวอร์ Honda Prologue และ Acura ZDX ที่กำลังจะมาถึงจะใช้สถาปัตยกรรม Ultium ของ General Motor

ทั้งคู่มีกำหนดวางจำหน่ายในปีหน้าและจะผลิตที่โรงงาน Spring Hills ของ GM ในรัฐ Tennessee

Mibe เสริมว่าขณะนี้ Honda กำลังทำการศึกษาความเป็นไปได้เกี่ยวกับฮาร์ดแวร์โครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น เครื่องชาร์จ แบตเตอรี่ ยานพาหนะทางอากาศ และแม้แต่จรวด เชื้อเพลิงไฟฟ้าคาร์บอนต่ำ หรือเชื้อเพลิงสังเคราะห์ก็อยู่ในรายการที่พวกเขาสนใจเช่นกัน เพราะฮอนด้ามองว่าเชื้อเพลิงสังเคราะห์เป็นวิธีการรักษาให้รถสปอร์ตสมรรถนะสูงอยู่ต่อไปอีกประมาณสองทศวรรษ

แต่เขาย้ำว่า "ในขณะที่เรามุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน เรามุ่งเน้นไปที่การใช้พลังงานไฟฟ้าและเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งเป็นองค์ประกอบหลักสองประการของการขับเคลื่อนในอนาคต"