ลองขับรถกระบะ Isuzu D-Max รุ่นย่อย V-cross โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ พาไปลุยทางออฟโรดที่มีด่านสุดหินทั้งแบบลุยโคลนเปียก ลงหลุมลึกครึ่งล้อ ไต่เนินสลับล้อ เพื่อสร้างอุปสรรคในการขับขี่อย่างสูง แต่ผ่านไปราบรื่นด้วยการใช้ Rough Terrain Mode

Isuzu D-Max โฉมไมเนอร์เชนจ์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงภายนอกใหม่กับกระจังทรงหกเหลี่ยม ในรุ่นย่อย V-Cross Package ได้ฝาท้ายและชุดไฟท้าย 3 ชั้นใหม่ ที่สำคัญคือ ในรุ่นท็อปสุดนี้ มาพร้อมระบบ Rough Terrain Mode เสริมประสิทธิภาพการขับขี่ทั้ง 2 ล้อ และ 4 ล้อ ซึ่งเป็นของใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน

เตรียมด่านให้รถขับลำบาก

Rough Terrain Mode คือระบบควบคุมการกระจายกำลังทุกช่วงความเร็ว ทำงานร่วมกับ Electric Diff-Lock ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ช่วยล็อกเฟืองท้าย ทำให้ผ่านอุปสรรคยาก ๆ ไปได้อย่างง่ายดาย แต่พิมพ์สรรพคุณมาแค่นี้คงไม่เห็นภาพ เราจึงได้ไปลงขับขี่ด้วยตัวเอง โดยผ่านสถานีทดสอบต่าง ๆ ที่ทางอีซูซุเตรียมเอาไว้ให้แล้ว และการเตรียมด่านทดสอบนั้น ไม่ได้จัดมาแบบง่าย ๆ เพื่อให้รถผ่านฉลุย แต่กลับกันคือ ทางค่ายรถจงใจขุดหลุม และถมเนินให้สูงสุด เพื่อให้ล้อติดขัดอยางยากลำบากสูงสุดเท่าที่ใต้ท้องรถจะรับไหว

ลองความสามารถเฟืองท้าย

การทดสอบสมรรถนะรถ Isuzu D-Max ในด่านออฟโรดนี้ เราได้เลือกใช้รุ่นท็อป D-Max V-Cross 4x4 ที่มีทั้งระบบขับเคลื่อน 4 ล้อและระบบ Rough Terrain ช่วยเหลือเพิ่มเติม เริ่มต้นกับการทดสอบบนเนินสลับล้อ ที่มีความสูงของเนินทำมุมชันขึ้นมาแตะกันชนของรถ และทำให้ล้อมีการยุบและยืดอย่างสูงสุด ถึงขั้นทำให้ล้อลอยจากพื้น เป็นการตัดกำลังล้อให้มีพลังขับเคลื่อนน้อยลง ซึ่งรถได้แก้ไขปัญหาด้วยการใช้ Electric Diff-Lock ส่งต่อกำลังไปยังล้อฝั่งตรงข้ามอย่างรวดเร็ว ทำให้พารถออกอุปสรรคได้ โดยที่ไม่ต้องใช้เทคนิคขับขี่พิเศษ

ลุยแอ่งโคลน

สถานีทดสอบระบบ Rough Terrain คือด่านลุยโคลนดำดิน ซึ่งเป็นทางโคลนเปียก มีน้ำขังในแอ่ง และมีเนินโคลนลื่นๆ พร้อมกับทางโค้งไต่ออกเนินที่ชันพอสมควร เพื่อแกล้งให้รถติดหล่ม ให้รถเกิดล้อฟรี ขณะที่ไต่เนินสุดลื่น การขับขี่เราก็แกล้งขับเหมือนคนไม่รู้เรื่องรถมากนัก ขับแบบคนทั่วไปก็ขับลงแอ่งโคลนด้วยเกียร์ 1 ในโหมดแมนนวล ทำให้ล้อติดในแอ่งโคลนก่อน จากนั้นก็กดปุ่ม Rough Terrain Mode มันก็ทำการควบคุมการกระจายกำลังทุกช่วงความเร็ว คู่กับระบบ Electric Diff-Lock ควบคุมการทำงานด้วยไฟฟ้า ช่วยล็อกเฟืองท้าย ให้เครื่องยนต์ส่งกำลังไปยังล้อหลังด้านซ้ายและขวาเท่ากัน เพื่อให้ผ่านอุปสรรคยาก ๆ ไปได้อย่างง่ายดาย 

ระบบช่วยขับขี่เพียบ

นอกจากนี้ยังได้อย่างมั่นใจด้วยระบบแสดงองศามุมปีนไต่และทิศทางการเลี้ยวผ่านหน้าจอ Integrated MID และ Infotainment Display ระบบความปลอดภัย ADAS ในการช่วยเหลือผู้ขับขี่ ด้วย 3D Imaging Stereo Camera ที่มีมุมมองกว้างและแม่นยำกว่าเดิม พร้อมเรดาร์ 2 จุด และเซ็นเซอร์ 8 จุดรอบคัน เรียกว่าช่วยขนาดนี้ ทำให้คนไม่มีฝืมือด้านออฟโรดมาก่อน ก็สามารถลงแอ่งโคลนได้อย่างมั่นใจ

ลงหลุมจมครึ่งล้อ

ด่านสุดหินสุดท้ายคือ ลองขับลงหลุมลึกและชัน ที่ทีมงานขุดลงไปให้ล้อหน้าจมถึงครึ่งล้อ และใต้ท้องรถลงมาแตะพื้นดิน จำลองสถานการณ์ที่ขับรถแล้วล้อตกขอบถนน แล้วไม่มีอุปกรณ์ช่วยงัดล้อใด ๆ มีแต่การใช้โหมด Rough Terrain คู่กับเฟืองท้ายดิฟล็อค ส่งผลให้รถไต่หลุมขึ้นมาได้โดยที่ล้อไม่ฟรี โดยที่เท้ากดคันเร่งเบาๆ ไม่จำเป็นต้องกดแป้นเร่งแรงแต่อย่างใด

สเปคเครื่อง New Isuzu D-Max

ขุมพลังของ 2023 New Isuzu D-Max ใช้แบบดีเซล 3.0 ลิตร ดีดีไอ บลูเพาเวอร์ รุ่น 4JJ3-TCX เทอร์โบ กำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 450 นิวตัน – เมตร ที่ 1.600 – 2,600 รอบ/นาที มีให้เลือกทั้งเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (ในรุ่น M) และเกียร์ธรรมดา 6 สปีด (รุ่น Z และ ZP) ซึ่งยังให้ความประหยัดน้ำมันถึง 13.9 กม./ล.ตามมาตรฐาน Eco-sticker

การลองขับครั้งนี้ ถูกขับแบบคนไม่รู้เรื่องรถด้วยความตั้งใจ เพราะต้องการแสดงให้เห็นว่า รถกระบะสมัยใหม่ ใครขับไปลุยก็รอด เพราะมีระบบช่วยเหลือการขับขี่มากมาย เพียงแค่เรากดปุ่มจากภายใน ไม่ต้องลงไปงัดล้อหรือเข็นรถให้ตัวเองเลอะโคลนอีกต่อไป

ราคาจำหน่าย New Isuzu D-Max V-cross

• D-Max V-cross 4x4 4 ประตู 3.0 Ddi รุ่น M สีเมทัลลิคราคา 1,257,000 บาท และสีขาวมุก ราคา 1,264,000 บาท

• D-Max V-cross 4x4 4 ประตู 3.0 Ddi รุ่น ZP สีเมทัลลิคราคา 1,149,000 บาท และสีขาวมุก ราคา 1,156,000 บาท

• D-Max V-cross 4x4 4 ประตู 3.0 Ddi รุ่น Z สีเมทัลลิคราคา 1,034,000 บาท และสีขาวมุก ราคา 1,041,000 บาท

• D-Max V-cross 4x4 2 ประตู 3.0 Ddi รุ่น Z สีเมทัลลิคราคา 917,000 บาท

อ่านเพิ่มเติม : 2023 Isuzu D-Max V-Cross ไมเนอร์เชนจ์ นอกจากหน้าใหม่ มีอะไรเปลี่ยนไปบ้าง?