ลอง 2023 Nissan Almera ไมเนอร์เชนจ์ ทางไกล พบความขับสบาย น่าใช้ ให้กำลังเหลือ ๆ


- ทำความรู้จักระบบต่าง ๆ ก่อนการขับขี่
- ภายนอกโฉบเฉี่ยวขึ้น ภายในที่พรีเมียมขึ้นพร้อมสีใหม่
- ช่วงล่าง พวงมาลัย เครื่องยนต์ตอบสนองการใช้งานได้ดี
- ลองนั่งด้านหลัง
- สรุป: คุ้มค่าน่าใช้ทีเดียว
2023 Nissan Almera (2023 นิสสัน อัลเมร่า) รุ่นปรับโฉมไมเนอร์เชนจ์ เพิ่งเปิดตัวในประเทศไทยเมื่อไม่นานมานี้ นอกจากหน้าตาที่ปรับให้มีความสวยงามโฉบเฉี่ยวยิ่งขึ้นแล้ว ตัวรถยังเพิ่มอุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่สามารถตอบสนองลูกค้าได้มากขึ้นอีกด้วย
หลังจากการเปิดตัวดังกล่าว ทาง AutoFun Thailand ได้รับเชิญให้ได้ลองขับ Almera ไมเนอร์เชนจ์คันนี้บนเส้นทางไกล นั่นคือ กรุงเทพฯ – อยุธยา เป็นเวลาทั้งหมด 1 วัน มาดูกันว่า รถอีโคค่าร์คันนี้จะสามารถตอบสนองต่อการขับขี่ทางไกลได้ดีเพียงใด และอุปกรณ์ต่าง ๆ ภายในรถจะช่วยอำนวยความสะดวกเราได้หรือไม่
สัมผัสแรก ก่อนขับขี่
ก่อนที่เราจะได้ขับ Nissan Almera รุ่นปรับโฉมคันนี้ ทีมงานของนิสสันได้ให้กุญแจ 1 ดอก ตามปกติของการจัดงานทดลองขับทั่วไป แต่งานนี้ทางทีมงานได้ให้ยืมโทรศัพท์ 1 เครื่องมาด้วย
เราได้เห็นความน่าสนใจอย่างแรกคือ กุญแจของรถคันนี้เป็นดีไซน์ใหม่ ซึ่งจากการสอบถามกับทางนิสสันพบว่าจะเริ่มใช้ใน Almera ไมเนอร์เชนจ์รุ่นนี้เป็นต้นไป โดยนอกจากดีไซน์แล้ว ตัวกุญแจยังเพิ่มฟังก์ชั่นการสตาร์ทรถจากระยะไกลก่อนเราจะเข้าถึงตัวรถได้อีกด้วย ส่วนฟังก์ชั่นล็อค-ปลดล็อค และเปิดฝาท้ายยังคงไว้เช่นเคย
อีกส่วนที่น่าสนใจคือ การให้โทรศัพท์พร้อมแอพพลิเคชั่น NissanConnect ที่เชื่อมต่อรถแต่ละคันไว้เรียบร้อย เพื่อให้เราสามารถใช้งานฟังก์ชั่นใหม่นี้ได้อย่างเต็มที่ ในแอพฯ สามารถแสดงสถานะต่าง ๆ ของตัวรถ รวมถึงเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้มากยิ่งขึ้นด้วย
ยกตัวอย่างเช่น เราสามารถล็อค-ปลดล็อค, สตาร์ทรถ, สั่งกะพริบไฟหน้า และสั่งระบบแตรผ่านแอพได้จากระยะไกล แอพฯ ยังแสดงสถานะการเข้าศูนย์บริการ และการใช้งานของรถ รวมถึงการแจ้งเตือนเมื่อรถมีการเคลื่อนที่ออกจากรัศมีระยะทางหรือช่วงเวลาที่เรากำหนดอีกด้วย โดยแอพพลิเคชั่นนี้จะสามารถใช้ได้ฟรี 3 ปี หลังจากนั้นสามารถซื้อเพิ่มเติมได้
ภายนอกโฉบเฉี่ยวขึ้น
ภายนอกของ 2023 Almera มาพร้อมกระจังหน้าแบบ V-Motion ใหม่ซึ่งให้ความโฉบเฉี่ยวสวยงามมากกว่าเดิม เพิ่มความสปอร์ตให้กับตัวรถตั้งแต่ยังไม่มีชุดแต่ง ไฟหน้า LED ดีไซน์ใหม่พร้อมไฟเดย์ไลท์ LED และไฟเลี้ยวหลอดไส้เข้ากับดีไซน์โดยรวมและโลโก้ Nissan แบบใหม่
แต่น่าเสียดายที่ส่วนอื่น ๆ ทั้งด้านข้าง ด้านท้าย รวมไปถึงลายล้ออัลลอยที่ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงดีไซน์แต่อย่างใด โดยเฉพาะล้ออัลลอยในรุ่นท๊อปที่ยังเป็น 15 นิ้ว ซึ่งนิสสันก็ใช้วิธีจำหน่ายล้อ 16 นิ้วเป็นอุปกรณ์เสริมแทน
ภายในที่พรีเมียมขึ้น แต่สีอาจจับคู่ได้ยาก
เราจะพบว่า เมื่อเข้ามาในห้องโดยสารแล้วจะพบกับดีไซน์เช่นเดียวกับรุ่นที่แล้ว แต่เพิ่มความพรีเมียมยิ่งขึ้น เริ่มจากพวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นท้ายตัดแบบ D-Shape ที่หุ้มหนังด้วยวัสดุที่ดีกว่าเดิม เบาะนั่งที่หุ้มด้วยหนัง QUOLE MODURE ที่ไม่สะสมความร้อนระหว่างเดินทาง ทั้งบริเวณเบาะนั่งด้านหน้าและด้านหลัง ในส่วนที่รองรับน้ำหนักตัวเราโดยตรง
ห้องโดยสารมีการตกแต่งด้วยโทนสีน้ำเงินในรุ่นท็อป พร้อมการบุนุ่มไปจนถึงแผงประตูด้านหลังและตัดด้วยแถบพลาสติกสีเงินที่เข้ากันเป็นอย่างดี แต่มีข้อสังเกตอย่างหนึ่งคือ ไม่ว่าเราจะเลือกสีภายนอกเป็นสีใดก็ตาม ภายในจะมาสีน้ำเงินทั้งหมดสำหรับรุ่นท็อป ซึ่งสีนี้อาจจับคู่กับตัวถังบางสีได้ยากกว่า
นอกจากนี้ การปรับที่นั่งสามารถทำได้ตามมาตรฐาน ทั้งปรับสูง-ต่ำ เอนนอน เลื่อนหน้า-หลัง การปรับพวงมาลัยได้ 4 ทิศทาง แต่ยังไม่สามารถปรับเข็มขัดนิรภัยสูง-ต่ำได้ ซึ่งส่งผลชัดเจนต่อตำแหน่งผู้โดยสารด้านหน้าที่ปรับความสูงเบาะไม่ได้ ส่วนเบาะนั่งสามารถรองรับสรีระได้ดี
ภายในรถยังมาพร้อมหน้าจอกลางแบบสัมผัสที่รองรับได้ทั้ง Apple CarPlay และ Android Auto มาตรวัดความเร็วจะเป็นแบบผสมระหว่างเข็มอนาล็อคกับหน้าจอดิจิทัลซึ่งแสดงข้อมูลต่าง ๆ ได้ชัดเจน ทั้งอัตราสิ้นเปลือง ระยะทางขับขี่ การทำงานของระบบความปลอดภัย และฟังก์ชั่นใหม่อย่าง เซนเซอร์ตรวจสอบแรงดันลมยาง ที่มีเป็นครั้งแรก
นอกจากนี้ภายในรถยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ช่องเสียบ USB ทั้งด้านหน้าและหลัง ช่อง AUX/Power Outlet และยังมีอุปกรณ์ใหม่เพิ่มเข้ามา ได้แก่ แท่นชาร์จไร้สายนั่นเอง
ช่วงล่าง พวงมาลัย เครื่องยนต์ตอบสนองการใช้งานได้ดี
2023 Nissan Almera มาพร้อมขุมพลังเบนซินเทอร์โบ 1.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 100 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 152 นิวตันเมตร จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ XTRONIC CVT พร้อม D-Step Logic
จากการใช้งานทางไกลใน 1 วันพบว่า เครื่องยนต์ตัวนี้มีอัตราเร่งที่สามารถเทียบเคียงกับเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรได้เลย เพราะในชีวิตประจำวัน ผู้เขียนได้ขับรถเครื่องยนต์ 1.5 ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว พบว่าทั้งสองขุมพลังไม่ได้มีความแตกต่างกันมาก
แต่เครื่องยนต์ 1.0 ลิตรเทอร์โบจะให้ความประหยัดที่มากกว่า โดยทาง Nissan เคลมอัตราสิ้นเปลืองไว้ที่ 23.3 กม./ลิตร ซึ่งในการขับขี่จริงแม้ไม่ได้ถึงเท่านี้ แต่ก็ได้ผลที่น่าพอใจทีเดียว
ความรู้สึกหรือฟิลลิ่งพวงมาลัยของรถคันนี้ทำได้น่าสนใจ เพราะเมื่อความเร็วต่ำ น้ำหนักพวงมาลัยจะเบาจนสามารถควบคุมได้ง่าย แต่เมื่อความเร็วสูงจะมีความหนืดขึ้นให้มั่นใจ และยังมีความคมอยู่ในระดับหนึ่ง
สำหรับช่วงล่างของ Almera คันนี้สามารถสะท้อนสภาพของพื้นถนนได้ตามมาตรฐาน โดยมีการซับแรงที่อาจจะไม่ต้องเผลอเกร็งตัวกันมาก แต่ก็มีลุ้นอยู่บ้าง สิ่งนี้อาจเป็นผลมาจากลมยางค่ามาตรฐานจากโรงงาน (มาตรฐานคือ ด้านหน้า 38 ด้านหลัง 35) ซึ่งเราสามารถเติมลมยางที่อ่อนกว่านี้เพื่อความนุ่มนวลที่มากขึ้น
นอกจากนี้ การเก็บเสียงของรถคันนี้ก็ทำได้ดีในช่วงความเร็วที่กฎหมายกำหนด มีเพียงเสียงลอดขอบยางจากเสา C เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ไม่ดังจนรำคาญแต่อย่างใด เนื่องจากพื้นถนนบนเส้นทางที่เราทดสอบส่วนใหญ่เป็นทางลาดยางทั่วไป
นอกจากนี้ การเข้าโค้งของรถคันนี้สามารถทำได้ดี เนื่องด้วยการเซ็ตช่วงล่างแบบเดิมที่ดีอยู่แล้ว และระบบช่วยการขับขี่ที่เสริมความมั่นใจในการเลี้ยวและเปลี่ยนเลนยิ่งขึ้น
ระบบความปลอดภัยแบบ Active Safety ของ Almera รุ่นปรับโฉมก็มาให้อย่างครบครันเช่นเคย โดยเมื่อขับขี่ทางไกล ขณะเปลี่ยนเลน เราจะเห็นการทำงานของระบบเตือนจุดอับสายตา (BSM) ที่บริเวณกระจกข้าง
และยังมีระบบช่วยเตือนเมื่อออกนอกเลน ในกรณีที่หากเราเหนื่อยล้าระหว่างทาง อาจทำให้เราเผลอขับออกนอกเลนได้ โดยระบบจะเป็นการเตือนด้วยการสั่นพวงมาลัย แต่จะไม่มีการดึงกลับเกิดขึ้น
นอกจากนี้ ระบบความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้นมาในรุ่นไมเนอร์เชนจ์ ได้แก่ ระบบขอความช่วยเหลือได้ทันทีเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน (ปุ่ม SOS) ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบ Cruise Control ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินที่แม่นยำขึ้นจากการเพิ่มเรดาร์ใหม่เข้ามา
ลองนั่งด้านหลัง
นอกจากได้สัมผัสประสบการณ์การขับขี่แล้ว เรายังได้ลองนั่งเบาะแถวหลังเช่นกัน โดยพื้นที่ห้องโดยสารด้านหลังนั้นค่อนข้างกว้าง มีพื้นที่วางขาที่เพียงพอสำหรับคนร่างใหญ่และเหลือใช้สำหรับคนร่างเล็ก
และอย่างที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น เราจะพบว่าแผงประตูด้านหลังยังบุนุ่มมาให้เช่นเดียวกับด้านหน้า แถมยังมีช่อง USB ไว้ให้ชาร์จอุปกรณ์ 1 ตำแหน่ง แต่น่าเสียดายที่ไม่มีที่เท้าแขนสำหรับผู้โดยสารด้านหลังมาให้ และเบาะหลังไม่สามารถพับเพื่อเพิ่มความเอนกประสงค์ได้
สรุป
สำหรับ 2023 Nissan Almera ไมเนอร์เชนจ์คันนี้ถือว่าเป็นรถที่ยังคุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง แม้จะมีราคาจำหน่ายอยู่ที่ระหว่าง 549,000 – 699,000 บาท ซึ่งเพิ่มขึ้นจากรุ่นก่อนไม่น้อย แต่ราคาที่เพิ่มขึ้นมานั้น สิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาก็ค่อนข้างสมเหตุสมผล
ส่วนเรื่องของการขับขี่และการใช้งาน พบว่ารถคันนี้สามารถมอบประสบการณ์การขับขี่ขณะเดินทางไกลที่ไม่เหนื่อยมากนัก มีอุปกรณ์ภายในรถที่สะดวกสบาย แถมยังเป็นมิตรต่อผู้โดยสารด้านหลังอีกด้วย
อ่านเพิ่มเติม : คู่มือซื้อ 2024 Nissan Almera แม้เครื่องเดิม แต่เพิ่มออพชั่นเพียบ เทียบสเปคพบว่าซื้อรุ่นกลางคุ้มสุด


Salin
แบรนด์รถยนต์ยอดนิยมในไทย
ข่าวล่าสุด
เผยภาพจริง Mazda EZ-60 พื้นฐาน Deepal S07 แต่เป็นไฮบริดเสียบปลั๊ก ไม่พึ่งที่ชาร์จ
ทำไมทางด่วนฟรีวันสงกรานต์ยกเว้นแค่ 3 เส้นทาง เพราะมีสัมปทานร่วม
Corolla 3 ห่วง วิ่ง 2 ล้านกม.ด้วยเครื่อง-เกียร์เดิม เผยวิธีใช้และซ่อม
Mitsubishi XForce ผ่านการชน Asean NCAP 5 ดาวด้วยเกณฑ์การทดสอบดังนี้
Ford Fan Festival ปี 3 ชวนแฟนๆ ท้าความมันส์กับการลองขับ Ranger MS-RT และ Wildtrak
รถยอดนิยม
- เป็นที่นิยม
- ล่าสุด
-
DEEPAL S07
ยังไม่คอนเฟิร์ม
-
Deepal L07
THB 1,329,000
-
Hyundai IONIQ...
THB 1,699,000 - THB 2,399,000
-
Volvo EX30
THB 1,590,000 - THB 1,890,000
-
Honda City
THB 579,500 - THB 839,000
-
Land Rover...
THB 3,000,000 - THB 8,599,000
-
MG Maxus...
THB 2,499,000 - THB 2,699,000
-
Ford Ranger
THB 528,000 - THB 1,519,000
-
MG ES
THB 959,000
-
Honda CR-V
THB 1,369,000 - THB 1,759,000