ราชกิจจานุเบกษา เล่มที่ 139 ตอนพิเศษ 120 ง ประกาศกรมสรรพสามิต เรื่อง การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการแจ้งราคาขายปลีกแนะนำ สำหรับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่ได้รับสิทธิตามาตรการสนับสนุนการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า ประเภทรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ประกาศอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พฤษภาคม ที่ผ่านมา
ถือเป็นบทสรุปของแผนการดำเนินการสนับสนุนการใช้งานและการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าแบบบีอีวี หรือรถยนต์ไฟฟ้า 100% ทั้งในส่วนของรถยนต์และรถจักรยานยนต์ ที่มีเงื่อนไขการสนับสนุน 3 รูปแบบพร้อม ๆ กัน เพื่อให้ผู้ผลิตรถยนต์สามารถทำราคาจำหน่ายให้จูงในให้ผู้บริโภคหันมาใช้งานรถยนต์ประเภทบีอีวีกันมากขึ้น
ทั้งนี้ ราชกิจจาบุเบกษาฉบับดังกล่าวระบุว่า การสนับสนุนในครั้งนี้ จะใช้วิธีการลดอัตราหรือยกเว้นอากรขาเข้า การลดภาษีสรรพสามิตและการให้เงินอุดหนุนแก่ผู้ได้รับสิทธิตามตามาตรการ เพื่อส่งเสริมให้เกิดการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศ และขับเคลื่อนการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
เรามาดูรายละเอียดโครงการนี้กันละเอียด ๆ ให้เข้าใจกันอีกครั้ง...
เงื่อนไขสำคัญในการที่ค่ายรถจะเข้าร่วมโครงการนี้ได้ ก็คือการเซ็นบันทึกความเข้าใจเกี่ยวกับการเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศไทย ด้วยการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าตามเงื่อนไขที่้รัฐบาลกำหนดเอาไว้ เพื่อแลกกับมาตรการทั้งสาม อันประกอบไปด้วย หนึ่ง การลดภาษีนำเข้ารถยนต์ สอง การรับเงินอุดหนุนสำหรับการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าทุกคัน และสาม การลดภาษีสรรพสามิตสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทั้งหมดนี้จะได้รับส่วนลดมากหรือน้อย ก็ขึ้นกับเงื่อนไขในการนำรถเข้ามาทำตลาดสำหรับผู้ประกอบการแต่ละรายกันไป
หากคิดคำนวนออกมาเป็นตัวเลขทั้งหมด ก็ถือว่ามูลค่าไม่น้อย ภาษีนำเข้าที่จะได้รับนั้นลดลงไปสูงสุดถึง 40% เช่น หากเสียอยู่ 40% ก็จะเหลือ 0% ทันที แต่ผู้ประกอบการที่นำเข้ารถจากประเทศที่ไม่เสียภาษีอยู่แล้ว เช่น ประเทศจีน ก็จะไม่ได้รับในส่วนนี้ เงินอุดหนุนนั้น โดยปกติรถยนต์ไฟฟ้าจะใช้แบตเตอรี่ใหญ่กว่า 30 กิโลวัตต์อยู่แล้ว จึงน่าจะได้อยู่ที่ 1.5 แสนบาท รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ขณะที่ภาษีสรรพสามิตที่ลดลงไปจาก 8% เหลือ 2% ก็คือเป็นมูลค่าหลายหมื่นบาท ดังนั้น ผู้ประกอบการจะต้องให้ส่วนลดขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 1.5 แสนบาท ไปจนถึงระดับหลายแสนบาทหากเข้าร่วมโครงการ
ขณะนี้ ในประเทศไทยมีค่ายรถที่แสดงความมั่นใจกระโดดเข้าร่วมโครงการดังกล่าว และได้เซ็นเอ็มโอยูไปแล้ว ประกอบไปด้วย MG (เอ็มจี) ที่ทำตลาด MG ZS EV (เอ็มจี แซดเอส อีวี) และ MG EP (เอ็มจี อีพี) Great Wall Motor (เกรทวอลล์ มอเตอร์) ที่ทำตลาด ORA Good Cat (ออร่า กู๊ดแคท) โดยได้ประกาศลดราคารถยนต์ทุกรุ่นไปแล้วก่อนหน้านี้ตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา และ Toyota (โตโยต้า) ที่วางแผนจะทำตลาด Toyota bZ4X (โตโยต้า บีแซด4เอ็กซ์) ภายในสิ้นปี 2565 ก็เซ็นสัญญาในช่วงปลายเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยยังไม่ได้ประกาศราคาจำหน่ายรถรุ่นนี้ออกมาแต่อย่างใด
ปัญหาที่ทำให้ทุกค่ายต้องคิดกันอย่างรอบคอบก็คือหนึ่งในเงื่อนไขการผลิตในประเทศไทยเพื่อชดเชยการนำเข้าหลังจบโครงการ โดยมีการกำหนดเอาไว้ว่า หากเป็นรถยนต์ที่ราคาต่ำกว่า 2 ล้านบาท สามารถผลิตรถรุ่นใดก็ได้ชดเชย โดยไม่จำเป็นรุ่นที่นำเข้ามา แต่หากเป็นรถราคา 2-7 ล้านบาท จะต้องผลิตนรุ่นที่นำเข้ามาเท่านั้น ทั้งนี้ จะต้องผลิตชดเชยในอัตรา 1:1 หากทำเสร็จในปี 2567 แต่หากต้องการยืดระยะเวลาไปอีก 1 ปี เป็นภายในปี 2568 ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องผลิตเพิ่มมากขึ้นเป็น 1:1.5 ซึ่งเป็นไปตามแผนงานการดูดเม็ดเงินลงทุน การผลิตและการจ้างงานที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ดูเหมือนว่าจะมีค่ายรถที่ปาวารณาตัวเข้าร่วมโครงการนี้แน่ ๆ อีกค่าย ก็คือ Hozon (ฮอซอน) ที่จะเป็นโครงการร่วมทุนกับปตท. แต่ยังไม่มีรายละเอียดอะไรออกมา และจากการสอบถามไปยังค่ายรถหลาย ๆ ค่าย ต่างก็บอกว่าเป็นโครงการที่น่าสนใจ แต่ต้องดูเงื่อนไขและความเหมาะสม โดยเฉพาะในช่วงที่ยังมีผลกระทบจากโควิด-19 และการขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์เพื่อการผลิตรถยนต์ ยังเป็นเงื่อนไขสำคัญที่ทุกค่ายต่างจับตามองอยู่ว่า หากเข้าร่วมโครงการนี้แล้ว จะสามารถทำได้ตามเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนดเอาไว้หรือไม่ในอนาคต
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}