2022 Nissan Kicks e-Power (2022 นิสสัน คิกส์ อี-พาวเวอร์) ใหม่เปิดตัวออกสู่ตลาดในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา พร้อมทำยอดจองอย่างน่าประทับใจที่ 1,000 คันภายใน 10 วันแรก

ตัวเลขดังกล่าวอาจดูไม่สูงมากนักหากนำไปเทียบกับตัวเลขของเจ้าตลาดอย่าง Toyota หรือ Honda แต่ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของ Nissan โดยเฉพาะเมื่อเปรียบกับยอดขาย Kicks e-Power รุ่น “Gen 1” และแสดงให้เห็นว่าการแก้เกมครั้งนี้เดินมาถูกทางแล้ว

ถึงแม้ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนจะทำให้การผลิตและส่งมอบล่าช้าจนเกิดเสียงบ่นจากลูกค้า แต่ Kicks e-Power ใหม่ก็กลายเป็นตัวเลือกอันดับต้น ๆ ในกลุ่มรถอเนกประสงค์บีเซกเมนท์ สามารถเบียดสู้กับยักษ์ปักหลั่นอย่าง Honda HR-V และ Toyota Corolla Cross ได้อย่างน่าลุ้นมากขึ้น  

หลายคนตัดสินใจเลือกคบหากับรถยนต์ที่ไม่ใช่แบรนด์เจ้าตลาดด้วยเหตุผลที่แตกต่างกันออกไป อาจเป็นได้ทั้งอ็อปชั่นอำนวยความสะดวก ระบบความปลอดภัย ขุมพลังขับเคลื่อน ตลอดจนราคาจำหน่ายที่มักย่อมเยากว่า ส่วนผู้เขียนเองหันมามองรถยนต์ Nissan เป็นครั้งแรกก็ด้วยเหตุผลหลายประการ

ผู้เขียนอาศัยอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่ซึ่งมีสองบริษัทผู้แทนจำหน่าย Nissan แข่งขันกันให้บริการ หลังจากไปเยี่ยมชมศูนย์แห่งแรกใกล้บ้านก็พบว่าไม่สามารถมอบข้อเสนอด้านการเงินที่ตอบโจทย์ได้ จึงลองเข้าไปที่ศูนย์แห่งที่สองที่ไกลกว่าแทน นั่นคือ Nissan Northwave สาขาถนนมหิดล ใกล้สนามบิน

ด้วยความที่ Kicks e-Power ใหม่เพิ่งเปิดตัวจึงเข้าใจได้ว่าอัตราดอกเบี้ยหรือส่วนลดแลกแจกแถมอาจไม่เยอะแยะมากมาย แต่ข้อเสนอจากศูนย์ดังกล่าวก็ถือว่าน่าพึงพอใจจนสามารถตกลงปลงใจได้ในเวลาไม่นาน

ผู้เขียนเคยใช้รถยนต์ทั้งแบรนด์ Toyota, Honda และ Mazda พบว่ามาตรฐานการบริการด้านการขายไม่มีความแตกต่างกันมากนัก เช่นเดียวกับ Nissan ที่มีขั้นตอนการให้บริการเหมือนกับค่ายรถรายอื่น

ที่ปรึกษาการขาย คุณอาร์ม – กิตติญา ปินตาไฝ ของ Nissan Northwave ดูแลจัดการได้ตามมาตรฐาน อาจมีข้อติดขัดบ้างเรื่องระยะเวลารอรถที่ค่อนข้างนานและฤกษ์วันออกรถที่กระชั้นชิด แต่ก็ได้รับการแก้ไขให้สำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี

สมรรถนะขับขี่ยอดเยี่ยม

ก่อนที่จะได้มีโอกาสทดลองขับ 2022 Nissan Kicks e-Power ผู้เขียนเคยอ่านผ่านตามาว่าหากไม่อยากตกหลุมรักรถรุ่นนี้ก็อย่าริอาจทดสอบขับ ฟังเผิน ๆ อาจรู้สึกว่าช่างเป็นคำพูดที่อหังการเสียเหลือเกิน และควรจะถูกใช้กับแบรนด์ที่มีสมรรถนะแตกต่างอย่างชัดเจนด้วยระบบขับเคลื่อน 4 ล้ออย่าง Subaru มากกว่า

แต่พอได้เข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยและกดคันเร่งแล้วก็ตระหนักได้ทันทีว่าระบบขับเคลื่อน e-Power ถูกสร้างมาเพื่อคนที่ชื่นชอบการขับขี่อย่างแท้จริง

การบ้านที่ผู้เขียนทดไว้ในใจก่อนเลือกรถเอสยูวี-บี คือความสมดุลระหว่างขุมพลังที่ขับสนุกและความประหยัดน้ำมัน ซึ่ง Kicks e-Power ตอบโจทย์ได้ตรงเผง อัตราเร่งของรถเอสยูวีรุ่นนี้ตอบสนองได้อย่างทันทีทันใดตามสไตล์รถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการออกตัวจากหยุดนิ่งหรือการเร่งแซงที่ความเร็วต่ำจนถึงปานกลาง ล้วนทำได้อย่างยอดเยี่ยม

รถที่ผู้เขียนใช้อยู่ในปัจจุบันคือ Mazda 3 Skyactiv ปี 2018 เครื่องยนต์เบนซิน 2.0 ลิตรมีสมรรถนะที่ดีพอตัวอยู่แล้ว แต่ให้ฟีลลิ่งแตกต่างจาก e-Power ที่มี “แรงดึง” อย่างชัดเจน  ซึ่งทำให้เหนือกว่าคู่แข่งในระดับเดียวกันอย่าง Honda HR-V และ Toyota Corolla Cross ที่มิอาจต่อกรได้ในเรื่องอัตราเร่ง  

ระบบแป้นเหยียบเดียวที่กลายร่างจาก One Pedal ในเจนแรกมาสู่ e-Pedal Step ในเจนที่สองถือเป็นหนึ่งในฟีเจอร์สำคัญของรถรุ่นนี้ แน่นอนว่าการขับขี่ช่วงแรกชวนให้ปวดเศียรเวียนเกล้าจากการที่ตัวรถชะลอความเร็วแบบ “หัวทิ่ม” เมื่อยกเท้าออกจากคันเร่ง แต่เมื่อคุ้นชินแล้วในเวลาไม่นาน การใช้คันเร่งเดียวทั้งในโหมด Sport หรือ ECO มอบความสะดวกสบายและคล่องตัวอย่างมาก

ยกเท้าน้อย รถก็ชะลอน้อย ยกมาก แรงเบรกก็มากตาม ต้องปรบมือให้กับทีมวิศวกรและการตลาดของ Nissan ที่ไม่เพียงคิดค้นระบบนี้ขึ้นมา แต่ยังเลือกติดตั้งในรถที่มีราคาเอื้อมถึงได้เช่นนี้

ผู้เขียนอาศัยอยู่ในอำเภอรอบนอก การใช้งานไป-กลับจากสำนักงานผสมผสานทั้งเส้นนอกเมืองและถนนในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องการจราจรที่ติดขัดในชั่วโมงเร่งด่วน ระบบ e-Power มอบความประหยัดระดับ 18 – 21 กม.ต่อลิตร ถือว่าน่าพอใจเมื่อเทียบกับความสนุกที่ได้รับระหว่างการสัญจรในชีวิตประจำวัน

จุดอ่อนของ Kicks e-Power ตามความคิดเห็นของผู้เขียนคือตำแหน่งที่นั่งผู้ขับขี่ที่ค่อนข้างสูงตามแบบฉบับรถอเนกประสงค์ ทำให้รู้สึกโหย่งเหย่งและโหวงในบางจังหวะ นั่นอาจเป็นเพราะคุ้นชินกับการนั่งขับแบบจมอยู่ในเบาะของ Mazda 3 ขณะเดียวกัน พื้นที่ในห้องโดยสารก็ค่อนข้างแคบ แต่เมื่อไม่มีเสียงบ่นจากคนข้างกายก็ไม่ได้เป็นปัญหาร้ายแรงแต่อย่างใด ส่วนช่วงล่างก็ถูกเซ็ทมาให้รองรับการใช้งานได้ทุกรูปแบบอย่างมั่นใจตราบใดที่ยังขับขี่ตามความเร็วที่กฎหมายกำหนด

การออกแบบและอ็อปชั่น

ผู้เขียนสารภาพว่าเฝ้ารอ Honda HR-V เจนเนอเรชั่นใหม่เปิดตัวในเมืองไทยอยู่นานสองนาน นับถอยหลังพลางท่องเว็บไซต์แอบสอดส่องสเปกญี่ปุ่นที่เปิดตัวก่อนเมืองไทยหลายเดือน ชื่นชอบรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามโดดเด่น และการออกแบบภายในที่น่าจับต้องใช้งาน

แต่แล้วเมื่อถึงเวลาเปิดตัวอย่างเป็นทางการก็ต้องผิดหวังเมื่อได้เห็นว่าบริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทยเลือกหน้าจอกลางแบบลดต้นทุนเช่นนั้นมาติดตั้งในสเปกเมืองไทย เมื่อมองจากด้านข้าง แท่นยึดจอทรงกล่องยิ่งดูขัดหูขัดตา และคิดว่าเมื่อถึงเวลาปรับโฉมบิ๊กไมเนอร์เชนจ์ครั้งใหญ่อาจมีการเปลี่ยนจอใหม่ที่ดูทันสมัยยิ่งขึ้น 

สำหรับ Toyota Corolla Cross มาพร้อมรูปลักษณ์ที่เรียบง่ายแบบเพลย์เซฟทั้งภายนอกและภายใน ดีไซน์เช่นนี้น่าจะถูกใจคอรถยนต์ที่ไม่พึงประสงค์ความหวือหวา และต้องการความมั่นใจเต็มร้อยว่าราคาขายต่อไม่ตกจนใจหายแน่นอน แต่ผู้เขียนคิดว่าหน้าตาดูราบเรียบเกินไปหน่อย  

ส่วน Mazda CX-30 มีการออกแบบโดดเด่นมากทั้งภายนอกและภายใน เสียดายอย่างเดียวคือเครื่องยนต์ที่ยังคงเป็นแบบดั้งเดิมที่กินน้ำมันระดับมูมมาม ขณะที่แบรนด์รถยนต์สัญชาติจีนซึ่งมีทั้งไฮบริด ปลั๊กอินไฮบริด และไฟฟ้า 100% ให้เลือกใช้นั้นถือว่ามีคุณสมบัติที่ดึงดูดใจพอตัว แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว รอดูผลงานไปอีก 3 – 4 ข้างหน้าก็ถือว่าไม่ช้าเกินไปนัก

เมื่อรถแบรนด์เจ้าตลาดไม่เข้าตาแถมมีค่าตัวค่อนข้างสูง ประจวบเหมาะกับเมื่อ Kicks e-Power เจนที่ 2 เปิดตัวออกมาพร้อมราคาจำหน่ายที่ย่อมเยาลงกว่าเดิม เอื้อมถึงได้ง่ายกว่า และมาพร้อมกับแพ็คเกจเช็กระยะ SAVE SAFE ฟรีตลอด 5 ปี การตัดสินใจก็ง่ายขึ้น

ก่อนหน้านี้ผู้เขียนไม่ประทับใจคอนโซลกลางของ Kicks e-Power เจน 1 ที่มีดีไซน์แบบลาดเอียงเท่าใดนัก กระทั่งมีการปรับปรุงใหม่ในเจนที่ 2 ที่ให้ความรู้สึกภูมิฐาน บวกกับการหุ้มหนังผิวสัมผัสนุ่มนวลพร้อมเดินตะเข็บในบริเวณที่ควรจะมีนานแล้วอย่างแผงข้างประตูและแดชบอร์ดหน้า ปิดท้ายด้วยการติดตั้งเกียร์ไฟฟ้าดีไซน์สวยแบบเดียวกับ Nissan Ariya เท่านี้ก็เชื่อว่าสามารถครองใจลูกค้าหลายคนได้

กระนั้น การเลือกแบรนด์รองอย่าง Nissan ย่อมต้องเผื่อใจไว้เรื่องราคาขายต่อที่ไม่สามารถสู้กับบรรดาแบรนด์ใหญ่ได้ รวมถึงการบริการหลังการขายที่ผู้เขียนไม่เคยมีประสบการณ์กับค่ายนี้มาก่อน แต่ปัจจัยเหล่านี้ยังไม่มีน้ำหนักมากพอจนเบียดบังคุณสมบัติเด่นด้านอื่น ๆ ของรถเอสยูวีรุ่นนี้

หากกวาดตามองไปที่รถครอสโอเวอร์-เอสยูวีระดับนี้ 2022 Nissan Kicks e-Power มีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยที่คุ้มค่ากับราคาที่ถูกเคาะปรับใหม่ โดยรุ่น VL ที่ผู้เขียนเลือกใช้นั้นถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานทั้งในเมืองและนอกเมือง

อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนยังมีอีกหนึ่งจุดคาใจกับการเลือก 2022 Nissan Kicks e-Power นั่นคือความคงทนของเทคโนโลยี e-Power ที่ถือว่าค่อนข้างใหม่และยังไม่ผ่านการพิสูจน์ใช้งานระยะยาว ระบบขับเคลื่อนที่มีชื่อทางเทคนิคว่าซีรีส์ไฮบริดถูกใช้ครั้งแรกกับ Note e-Power ในตลาดญี่ปุ่นในช่วงปลายปี 2016 แต่ในเมืองไทย เพิ่งใช้งานครั้งแรกกับ Kicks e-Power ในปี 2020 

นั่นหมายความว่าระบบ e-Power ถูกใช้มาเกือบ 6 ปีในตลาดบ้านเกิดและกว่า 2 ปีในเมืองไทย หลังจากนี้น่าติตตามกันต่อไปว่าจะมีปัญหาใหญ่ใดถูกหยิบยกมาพูดถึงหรือไม่ ขณะเดียวกัน อายุใช้งานที่ถือว่าไม่มากนักทำให้เชื่อได้ว่า Nissan จะปรับปรุงระบบขับเคลื่อนที่พวกเขาภาคภูมิใจนี้ให้มีความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปีข้างหน้าจนกว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะได้รับความนิยมในวงกว้าง