2024 Toyota Alphard Vellfire เปิดตัว โตโยต้า อัลพาร์ด เวลล์ไฟร์

• ความแตกต่างของ Alphard และ Vellfire

ชื่อเสียงของ Toyota Alphard (โตโยต้า อัลพาร์ด) และ Toyota Vellfire (โตโยต้า เวลล์ไฟร์) สองคู่แผดคนละฝา ที่แตกต่างกันแค่หน้าตาและการตกแต่งเล็กน้อย เป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาผู้บริหารหรือครอบครัวขนาดใหญ่ ที่ต้องการรถเอนกประสงค์อันหรูหรามาใช้งานกันทั้งในการทำงานและในชีวิตประจำวัน ครองใจผู้บริโภคไปทั่วโลก

ล่าสุด Toyota (โตโยต้า) ได้ประกาศเปิดตัวเจนเนอเรชั่นที่ 4 ของรถตู้เอนกประสงค์ของพวกเขา ที่มาพร้อมแนวคิดในการพัฒนาที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม พร้อมทั้งมีออพชั่นใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นมาในท้องตลาด และเป็นครั้งแรกที่พวกเขาคิดและสร้างสรรค์ให้เวลล์ไฟร์มีความแตกต่างไปจากอัลพาร์ดอย่างมาก เรียกว่าฉีกไปรองรับความต้องการใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น

ด้วยเป้าหมายการจำหน่านที่สูงถึงเดือนละ 8,500 คันต่อเดือนเฉพาะในตลาดญี่ปุ่น โดยอัลพาร์ดจะครองสัดส่วนมากกว่าที่ 70% ด้วยราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ประมาณ 1.33 ล้านบาทไปจนถึง 2.19 ล้านบาท มาพร้อมทางเลือกที่หลากหลายมากขึ้น ทำให้โตโยต้ามีความมั่นใจว่าตลาดจะให้การยอมรับอย่างรวดเร็ว เมื่อรถเอนกประสงค์คันนี้เปิดตัวเข้าสู่ตลาด

มีอะไรที่เปลี่ยนแปลงไปและน่าสนใจบ้าง มาชมกัน...

เครื่องยนต์ใหม่ มีให้เลือกทั้งเบนซินและไฮบริด

แน่นอนว่าทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมเครื่องยนต์ไฮบริดที่เป็นการทำงานร่วมกันระหว่างเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรและมอเตอร์ไฟฟ้า ขณะเดียวกัน ก็จะมีทางเลือกเครื่องยนต์เบนซินให้เลือกใช้งานได้ โดยในอัลพาร์ด จะมาพร้อมเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรธรรมดา และเป็นครั้งแรกกับการแยกเครื่องยนต์รุ่นใหม่สำหรับเวลล์ไฟร์โดยเฉพาะ และโตโยต้าได้เลือกใช้เครื่องยนต์เบนซิน เทอร์โบ 2.4 ลิตรเป็นครั้งแรกกับรถกลุ่มนี้ โดยเครื่องยนต์ใหม่จะให้แรงบิดที่เหนือกว่าในรอบต่ำกว่า เมื่อเทียบกับเครื่องยนต์ 3.5 ลิตรรุ่นเดิม นอกจากนี้ โตโยต้ายืนยันว่าจะมีการพัฒนาเวอร์ชั่นปลั๊กอินไฮบริดตามมาในอนาคต

อ่านเพิ่มเติม: หลุดโบรชัวร์ 2024 Toyota Alphard ใหม่ ดูกันชัด ๆ ภายนอกและภายใน

การออกแบบภายนอกที่แตกต่าง จะหรูหราหรือดุดันเลือกได้เลย

อัลพาร์ดนั้นได้รับการออกแบบให้เน้นความเป็นรถยนต์เอนกประสงค์ ที่พร้อมจะรองรับการทำงานที่หลากหลายในชีวิตประจำวัน ทำให้การเลือกดีไซน์มาใช้นั้น จะเน้นไปที่ความหรูหราพรีเมียม ยกระดับจากรุ่นเดิมที่ผ่านมาไปอีกขั้น ขณะที่เวลล์ไฟร์นั้น ถูกตีความเสียใหม่ ให้ตอบรับควาามต้องการของลูกค้าที่โดดเด่นกว่า ด้วยกระจังหน้าที่ดูดุดัน พร้อมเกรดใหม่อย่าง Z Premium ที่เลือกใช้สีดำเจ๊ตแบล็กเสริมภาพลักษณ์ดุดันเพิ่มขึ้น รวมถึงยังมีอัลพาร์ด เวอร์ชั่นเวลแค็บ ที่มีการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเข้าไป แต่ลดความพรีเมียมหรูหราลงไปเล็กน้อยอีกด้วย

อ่านเพิ่มเติม: 2023 Toyota Alphard เปิดตัวแน่ พฤษภาคมนี้ สวยขึ้นและอ็อปชั่นเพียบ

ห้องโดยสารภายในที่ออกแบบพื้นที่ให้กว้างกว่าเดิม เติมออพชั่น

การออกแบบห้องโดยสารภายในที่ชาญฉลาด ทำให้โตโยต้า สามารถเพิ่มพื้นที่วางขาระหว่างแถวได้ 5 และ 10 มิลลิเมตรตามลำดับ ขณะที่เกรดหลัก ๆ ยังเป็นแบบธรรมดาและเอ็กซ์เซกคลูทีฟ เลานจ์ ที่มีการปรับโฉมให้แตกต่างและโดดเด่นตามการใช้งาน เช่น ชุมควบคุมไฟและอุปกรณ์ด้านหลังของรถ บันไดด้านบ้างหรือมือจับเสากลางที่ได้รับการปรับเปลี่ยนมาใหม่ ม่านกันแดดที่ประตูแบบปิดมาจากขอบกระจกด้านบนเป็นครั้งแรก เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถชื่นชมวิวข้างทางได้แม้ต้องการบังแดดไปด้วย ซึ่งเป็นการออกแบบที่คำนึงถึงการใช้งานอย่างแท้จริง

อ่านเพิ่มเติม: ลือหึ่ง Toyota เตรียมเลิกขายรถเอ็มพีวี Vellfire เหลือไว้เพียง Alphard

โครงสร้างตัวถังเพื่อความสะดวกสบายในการใช้งาน

โตโยต้าพัฒนารถแวนรุ่นใหม่ของพวกเขาบนโครงสร้าง TNGA ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อรถมินิแวนโดยเฉพาะ และยังให้น้ำหนักกับผู้โดยสารตอนหลังมากที่สุดเหมือนเช่นเคย ด้วยการลดแรงสั่นสะเทือนและเสียงดังที่เกิดขึ้นจากการขับขี่ พร้อมเพิ่มความแข็งแรงของโครงสร้างรถไปอีก 50% เมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา พร้อมช่วงล่างด้านหน้าแบบแมคเฟอร์สัน สตรัท และด้านหลังแบบดับเบิลวิชโบนที่ได้รับการปรับแต่งมาใหม่ และโช๊คอัพใหม่ที่ลดแรงสั่นสะเทือนไปได้ 30% พร้อมติดตั้งอุปกรณ์ช่วยดูดซับเสียงที่ด้านล่างของตัวรถเข้ามาเพิ่ม ไม่ว่าคุณจะเลือกใช้รถรุ่นใดก็ตาม

อ่านเพิ่มเติม: ใจถึงก็ไปถึง! ชมคลิป 2021 Toyota Alphard ลุยทางออฟโรดประหนึ่งรถขับ 4 ล้อ

เพิ่มความปลอดภัยและความช่วยเหลือด้านการขับขี่

อัลพาร์ดและเวลล์ไฟร์ใหม่ มาพร้อมระบบความปลอดภัย Toyota Safety Sense ที่ได้รับการปรับปรุงเวอร์ชั่นล่าสุด ที่ช่วยทั้งก่อนและหลังเกิดอุบัติเหตุแบบครบครัน นอกจากนี้ ยังได้รับการติดตั้ง Toyota Teammate เทคโนโลยีช่วยเหลือด้านการขับขี่ระดับสูง ไม่ว่าจะเป็นระบบช่วยจอดรถยนต์อัตโนมัติ ที่สามารถจอดได้ด้วยรีโมต โดยที่ผู้ขับขี่ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ในรถยนต์ และระบบช่วยขับขี่อัตโนมัติ ที่จะทำงานในช่วงของรถติดโดยจะทำงานที่ความเร็ว 0-40 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อช่วยลดความเครียดของผู้ขับขี่ ซึ่งถือเป็นระบบรูปแบบใหม่ที่ติดตั้งเข้ามาในตัวรถ

น่าใช้งานแบบนี้ เข้าเมืองไทยเมื่อไหร่ดีนะ...