Toyota Corolla (โตโยต้า โคโรลล่า) ชื่อเสียงเรียงนามเช่นนี้ก็คงจะหาได้น้อยคนบนโลกที่จะไม่รู้จัก ชื่อของ Toyota Corolla เป็นที่รู้จักกันมากขนาดนี้ ท่านคงจะคิดว่าจะเป็นเพราะการเก็บสะสมมาตลอดระยะเวลา 54 ปีนับตั้งแต่เปิดตัวรถ Corolla รุ่นแรกในปี 1966 ความจริง Toyota Corolla ถูกใจคนทั่วโลกมากเสียจนประสบความสำเร็จกันตั้งแต่เปิดตัวเลย ถ้าหากจะมีรถรุ่นใดที่ทำมาแล้วถูกที่ถูกเวลา ก็คงต้องดูตัวอย่างของ Toyota Corolla ละครับ
วันนี้ บอริสจึงตัดสินใจที่จะมาย้อนประวัติของรถยนต์ที่ไม่ว่าท่านจะไปตามหมู่บ้านแห่งใดบนโลกนี้ ก็จะต้องเจออย่างน้อย 1 คัน และในประเทศไทยเองก็ยังคงได้รับความนิยมตลอดเรื่อยมาจนปัจจุบัน
Toyota Corolla E10 เปิดตัวในปี 1966 ถ้าหากว่ากันจริง ๆ แล้ว ขนาดของ Toyota Corolla รุ่นแรกนี้ ถ้ามาเทียบกับรถในปัจจุบันก็จะเล็กกว่า Honda Brio เสียอีก และถ้าหากผมบอกว่า Toyota Corolla รุ่นแรกนี้ ถูกออกแบบมาให้เป็นรถที่รู้สึก “สปอร์ต” ท่านจะเชื่อไหมครับ?
Toyota ทำการตลาดรถ Corolla รุ่นนี้ให้ดูเป็นรถที่สปอร์ตกว่ารถรุ่นอื่น ๆ ในยุคเดียวกัน และก่อนหน้านี้ Toyota ก็มีรถเล็กจำหน่ายอยู่แล้วในชื่อ Toyota Publica แต่มันไม่ได้ประสบความสำเร็จเท่าไหร่เพราะนอกเหนือจากราคาถูกแล้ว มันก็ไม่ได้มีอะไรดึงดูดให้คนซื้อมากนัก
Toyota จึงเปิดตัว Corolla รุ่นแรกให้เป็นอะไรมากกว่าแค่รถสำหรับประชาชน ด้วยการใส่รายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น เบาะนั่งแบบแยก คันเกียร์อยู่ที่พื้น และเรือนไมล์แบบเข็มบนหน้าปัดกลม ผู้อ่านที่อายุน้อย คงคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ธรรมดาสามัญมากในปัจจุบัน แต่ก่อนหน้าการเปิดตัว Corolla ของเหล่านี้มีเฉพาะในรถสปอร์ตอย่างแท้จริงเท่านั้น
เครื่องยนต์นั้นมีให้เลือก 2 แบบ เป็นชนิด K 1.1 ลิตร และ 3K 1.2 ลิตร ตัวถังนั้นมีให้เลือก 4 แบบ ประกอบด้วย ซีดาน 4 และ 2 ประตู คูเป้ Sprinter 2 ประตู และสเตชั่นแวกอน 2 ประตู
Toyota Corolla E10 กลายมาเป็นรถยนต์ที่ขายดีที่สุดในญี่ปุ่น แทบจะในทันที และ Toyota ก็ส่ง Corolla ออกไปตีตลาดทั่วโลกเรื่อยมา ในประเทศไทยเอง Toyota ได้นำ Complete Knockdown Kit มาประกอบยังโรงงานที่สำโรงในปี 1968 อันเป็นการประกอบ Corolla นอกญี่ปุ่นครั้งแรกอีกด้วย
ถ้าหาก Toyota Corolla E10 เป็นรถที่ปูทางความสำเร็จ Toyota Corolla รุ่นที่สอง ตระกูล E20 ก็เป็นความสำเร็จนั้นเอง Toyota Corolla E20 เป็นรุ่นปรับปรุงที่มีความเปลี่ยนแปลงอยู่หลายจุด ทำขนาดให้ใหญ่ขึ้น เครื่องยนต์มีให้เลือกหลากหลายมากขึ้น รูปลักษณ์มีความสากลมากขึ้น เปิดตัวครั้งแรกในปี 1970 และกลายมาเป็นรถที่ขายดีที่สุดในโลกลำดับที่ 2
การปรับปรุง Toyota Corolla รุ่นที่ 2 นี้ให้ดีขึ้นจากรุ่นแรก เป็นการวางแผนเพื่อที่จะส่งออกไปขายในประเทศต่าง ๆ มากขึ้น และ Toyota Corolla ก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากในแทบทุกตลาดด้วยราคาจำหน่ายที่คุ้มค่า ความประหยัดน้ำมันเหนือชั้น อีกทั้งยังชูโรงจุดเด่นที่แม้จะผ่านมาแล้ว 50 ปี ทุกคนก็ยังจำเป็นภาพติดตาของ Corolla อยู่ นั่นคือ ความทนทานเชื่อถือได้
ทั้งหมดนี้ เมื่อโลกประสบปัญหาวิกฤติพลังงานน้ำมันในปลายปี 1973 ก็ทำให้ Toyota Corolla E20 ได้รับความนิยมมากขึ้นไปอีก Toyota Corolla E20 ทำให้โลกรู้จักกับเครื่องยนต์ญี่ปุ่นประสิทธิภาพสูง ที่ไม่ต้องดูแลอะไรมากก็ไม่เกิดปัญหา
นอกจากนี้ ถ้าหาก Corolla รุ่นแรก พยายามสปอร์ตแต่ไม่สำเร็จ Corolla E20 รุ่นสองนี้ ก็แก้เกมด้วยการเพิ่มรุ่นเครื่องยนต์ชนิด 2T-G Twin Cam ในรุ่น TE27 Levin มาให้ แต่ก็มีจำหน่ายในเฉพาะบางประเทศเท่านั้น เท่าที่เราทราบ ในประเทศไทย ส่วนมากรถ Corolla ที่ใช้เครื่อง 2T-G จะเป็นรถที่วางเครื่องทีหลังครับ
Toyota Corolla E30 รุ่นที่ 3 เปิดตัวในปี 1974 ต่อยอดความสำเร็จของสองรุ่นก่อนหน้าด้วยการปรับปรุงโฉมภายนอกให้เข้ากับยุคสมัยแม้ว่าจะยังดูรู้ว่าเป็น Corolla นอกจากนี้ยังขยายตัวถังให้ใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่ที่สำคัญคือ การเพิ่มชนิดของตัวถังและเครื่องยนต์ รวมไปถึงการเติมอ๊อปชั่นต่าง ๆ มากมายเข้าไป อันเป็นจุดเริ่มต้นของการทำให้ Toyota Corolla เป็นรถของทุกคนอย่างแท้จริง
จากตัวเลือกเดิมที่มีอยู่มากพอสมควรแล้ว Toyota E30 รุ่นที่ 3 ได้มีการเพิ่มตัวเลือกตัวถังเป็น 8 ชนิด ตั้งแต่ ซีดาน 2/4 ประตู คูเป้ 3 แบบ สเตชั่นวากอน 2 และ 4 ประตู รวมไปถึงแบบตู้ทึบ นอกเหนือจากนี้ยังมีตัวเลือกเครื่องยนต์เพิ่ม ทั้งตระกูล K 1.2 และ 1.3 ลิตร และตระกูล T ตั้งแต่ 1.4 ลิตรถึง 1.6 ลิตร รวมไปถึงแบบ 2T-G Twin Cam ตัวแรงที่ยังมีขายอยู่
Toyota ทำเช่นนั้นได้อย่างไร? คำตอบก็คือ Just-in-time production ซึ่งเป็นแนวคิดที่ Toyota ใช้มาก่อนหน้านี้แล้ว และเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่บริษัทอื่น ๆ ทำตามในภายหลังจนเป็นเรื่องปกติ แต่เป็นเรื่องที่แปลกใหม่มากในยุคสมัยนั้น
Just-in-time production เป็นแนวคิดการผลิตที่ Toyota สร้างขึ้นมา เนื่องจากวิธีคิดแบบเดิมที่บริษัทรถยนต์มักจะซื้อชิ้นส่วนต่าง ๆ เป็นกองเอาไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งนอกจากต้องเอาเงินทุนไปวางกองไว้มหาศาล ยังต้องใช้พื้นที่ที่ญี่ปุ่นมีจำกัด Toyota ซึ่งได้แนวคิดการผลิตชิ้นส่วนในโรงงานที่มีขนาดเล็กกว่า ในปริมาณเท่าที่จำเป็นมาใช้ โดยไอเดียมาจากบริษัทรถยนต์อังกฤษผู้ไม่นำไปต่อยอด
แน่นอนว่าประโยชน์ในเชิงการผลิตนั้นสามารถอธิบายได้มากมาย ทั้งประสิทธิภาพในการผลิต ช่วยให้ตั้งโรงงานได้เร็ว ประหยัดค่าใช้จ่าย และอื่น ๆ แต่ในมุมมองของผู้บริโภคข้อดีของ Just-in-time Production นี้ คือการที่ตัวเลือกอ๊อปชั่นต่าง ๆ ของรถยนต์นั้นมีเพิ่มขึ้นมากเสียจนผู้ชื่นชอบเก็บสะสมชนิดของอ๊อปชั่นต่าง ๆ ก็อาจจะงงกันได้
เมื่อรวมยอดจำหน่ายของ Toyota Corolla 3 รุ่นแรก ตั้งแต่ปี 1966 ถึง 1979 แล้ว Toyota Corolla ได้ถูกผลิตไปถึง 7 ล้านคันเข้าไปแล้ว
Toyota Corolla รุ่นที่ 4 รหัสตัวถังตระกูล E70 เปิดตัวในปี 1979 และโดดเด่นด้วยการปรับสู่ยุคของตัวถังทรงกล่องอันเป็นสัญลักษณ์แห่งยุค 80 ที่คนจดจำกันได้ ขนาดตัวถังใหญ่ขึ้นอีกเล็กน้อย ช่วงล่างถูกปรับปรุงให้นิ่มนวลขึ้น และภายในมีการใช้พลาสติกมาประดับตกแต่งที่มากขึ้น
ตัวถังนั้นมีให้เลือก เช่นเคย 8 รูปแบบ และเครื่องยนต์เพิ่มขึ้นเป็น 4 ตระกูล ตั้งแต่ 4K ขนาดเล็ก 1.3 ลิตร ไปถึงเครื่องยนต์แบบใหม่ตระกูล A ตั้งแต่ 1.5 ลิตร และ 1.6 ลิตร รวมไปถึงเครื่องยนต์ตระกูล T 1.6 ลิตรและ 1.8 ลิตร อีกทั้งยังมีตัวเลือกเครื่องยนต์เชื้อเพลิงดีเซล 1C ขนาด 1.8 ลิตร สำหรับผู้ที่ชื่นชอบความประหยัดน้ำมันอีกด้วย
Toyota Corolla E70 อาจเรียกได้ว่าเป็นรถ Corolla ที่สร้างชื่อในสายตาคนไทยเลยทีเดียว เนื่องจากเป็นรถ Corolla รุ่นแรกที่มีการผลิตชิ้นส่วนในประเทศไทยในจำนวนมาก แทนที่จะเป็นชุด CKD Kit เหมือนในอดีต แต่นั่นทำให้ตัวเลือกตัวชนิดตัวถังและเครื่องยนต์ลดลงไปไม่เยอะเท่าแต่ก่อน แม้ว่าในตลาดโลกเองจะยังมีตัวเลือกเยอะแบบบ้าบออยู่
Toyota Corolla รุ่นที่ 4 นี้ สร้างชื่อของความเป็นรถที่ขับนุ่มนวล สบาย ไร้กังวลเหมือนรถขนาดใหญ่กว่าให้กับ Toyota Corolla ทั่วโลก และยังคงความทนทานเชื่อถือได้ จนถูกนำไปใช้เป็นรถแท็กซี่ในหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทยเอง นี่นอกเหนือจากลูกค้าทั่วไปที่ชื่นชอบในความสะดวกสบายนะครับ
แต่กระนั้น เมื่อเวลาผ่านไป รถเก่าลงเรื่อย ๆ สิ่งที่เกิดขึ้น คือการที่เจ้าของรถ Toyota Corolla E70 นำรถของตนไปปรับแต่ง ใส่เครื่องยนต์ขนาดใหญ่รุ่น 2T-G หรือ 4A-GE แล้วนำไปใช้ซิ่งกันทั้งในสนามทางเรียบ สนามดริฟท์ และสนามแรลลี่ Toyota Corolla ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ “DX” “KE70” หรือ “Liftback TE71” นอกจากจะขายดีแพร่หลาย ยังเป็นรุ่นแรกที่เปิดตำนานนักแข่งหลายคนอีกด้วย
Toyota Corolla E80 รุ่นที่ 5 ถูกเปิดตัวในปี 1983 และนับได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ Corolla อยู่ยงคงกระพันมาได้จนถึงทุกวันนี้ เนื่องจาก Corolla E80 รุ่นที่ 5 เป็นรุ่นแรกที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าเป็นหลัก
ตัวถังนั้นมีขนาดใหญ่ขึ้นจากรุ่นก่อนหน้าอีกเล็กน้อยเช่นเดิม และเมื่อรวมกับการเปลี่ยนไปใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหน้า จึงทำให้ภายในห้องโดยสายนั้นกว้างขวางมากขึ้น และช่วงล่างที่เปลี่ยนมาใช้เป็นแบบ Strut อิสระ 4 ล้อ ก็ทำให้การขับขี่นั้นง่ายและนุ่มนวลมากขึ้นไปอีก
เครื่องยนต์ที่ใช้นั้นมี 2 แบบ ตั้งแต่ 1.3 ลิตร ถึง 1.6 ลิตร ชนิด A และเครื่องยนต์ขนาดเล็กแบบใหม่ 2E 1.3 ลิตร รวมไปถึงดีเซล 1.8 ลิตร แต่จำนวนตัวถังนั้นถูกลดลงให้เหลือเพียง 7 แบบ ซึ่งในรุ่นคูเป้ 2 ประตู ก็ยังใช้พื้นฐานของ E70 รุ่นก่อนหน้าซึ่งเป็นขับเคลื่อนล้อหลังอยู่ และนั่นก็ทำให้เราต้องพูดถึงรถที่สำคัญเสียจนไม่พูดถึงไม่ได้
Toyota Corolla AE86 เป็นรถที่มีชื่อเสียงมากที่สุดรุ่นหนึ่งของตระกูล Corolla แม้ว่าจะไม่ได้มีการวางจำหน่ายในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ และเป็นการเอาพื้นฐานของรถรุ่นเก่ามาปรับหน้าตาให้เข้ากับยุคสมัย แต่มันกลายมาเป็นรถที่มีชื่อเสียงจากการเข้าไปอยู่ในโลกของสื่อบันเทิง
เหตุผลที่เป็นเช่นนี้ ส่วนหนึ่งเพราะ Toyota เอง ก็ไม่เชื่อมั่นว่าการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโลก จะประสบความสำเร็จ 100% ถ้าหากต้องย้อนกลับก็สามารถทำได้ ถ้าหากคุณประสบความสำเร็จกับอะไรบางอย่าง คุณจะอยากลุ้นกับการเปลี่ยนมันไปโดยสิ้นเชิงไหมละครับ? ถ้าหากถามหลายท่าน การทำเช่นนั้นก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว เพราะ AE86 กลายมาเป็นตำนาน ในขณะที่เจ้าของ Corolla E80 ขับหน้าเหลี่ยม ๆ ได้แต่จินตนาการว่ารถเหล่านี้มีราคาเท่า AE86 ในปัจจุบันก็เท่านั้น
Toyota Corolla E90 รุ่นที่ 6 จะเป็นรถที่หลายท่านน่าจะเริ่มจดจำกันได้ สาเหตุหนึ่งก็เพราะบนท้องถนนประเทศไทยก็ยังมีรถรุ่นนี้ ที่มีชื่อเล่นว่า “โดเรม่อน” วิ่งกันอยู่เต็มไปหมด
แม้ว่า Toyota Corolla E80 จะสร้างความสับสนให้กับเจ้าของ Toyota Corolla เดิมมาอย่างมากมายด้วยการขับเคลื่อนล้อหน้า แต่ก็ประสบความสำเร็จมากพอที่จะไปต่อ ในยุคที่รถยนต์ขนาดเล็กปรับไปใช้ขับเคลื่อนล้อหน้าเสียหมดแล้วไม่มีทางกลับ Toyota Corolla E90 ก็เป็นตัวต่อยอดที่ใช้พื้นฐานเหมือนกัน ช่วงล่างเหมือนกัน แต่รูปทรงตัวถังทันสมัยกว่าเดิม และภายในมีคุณภาพดี สวยงามกว่าเดิมมาก
นอกเหนือจากนั้น เมื่อ Toyota เลิกผลิต Corolla AE86 ขับเคลื่อนล้อหลังไปแล้ว ยุคสมัยของเศรษฐกิจฟองสบู่ ก็ทำให้ Toyota ลงเงินพัฒนากับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่แอบใส่มาใน Corolla สเปคญี่ปุ่นหลายชิ้น
เรือนไมล์ดิจิตอล โช๊คอัพปรับได้ด้วยไฟฟ้า ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ เบาะกำมะหยี่สีแดงสด เครื่องยนต์หัวฉีดแบบแคมคู่ 7500 รอบต่อนาที พร้อมซุปเปอร์ชาร์จเจอร์แบบคลัชเปิดปิดได้ เบาะหลังพับได้แบบ 60/40 ถ้าหากไม่บอกว่าเป็นรถอะไร ก็อาจจะคิดว่าเป็นรถราคาแพงสมัยใหม่ในปัจจุบันก็ได้ ทั้งหมดนี้มีใน Toyota Corolla เมื่อ 30 ปีที่แล้ว นี่ยังมาพร้อมกับตัวเลือกตัวถังถึง 7 แบบนะครับ
แต่นั่นก็เฉพาะในตลาดประเทศญี่ปุ่นครับ เพราะในประเทศไทย Toyota Corolla E90 มีตัวเลือกเครื่องยนต์เพียง 3 แบบ ตั้งแต่ 1.3 ถึง 1.6 ลิตร และตัวถัง 4 ประตูเพียงแบบเดียว อ๊อปชั่นไม่สามารถเลือกอะไรได้เลยอีกต่างหาก ซึ่งก็เช่นเดียวกับตลาดชาติอื่นทั่วไป แต่รถ “AE92” จำนวนมากในปัจจุบันก็ได้อ็อปชั่นต่าง ๆ เหล่านี้ตัดมาจากรถเก่าญี่ปุ่นอยู่เหมือนกันครับ
ถ้าหากท่านสงสัยว่าทำไมมันต้องเรียกว่า “โดเรม่อน” ผมก็ขอตอบตามตรงครับว่า ผมเห็นรถรุ่นนี้มาตั้งแต่ป้ายแดง ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเรียกแบบนั้น และทุกคำอธิบายที่คนชอบให้ไว้เวลามีคนถาม ก็ไม่มีอันไหนจะสมเหตุสมผล ดูตรงกับความจริงเลยครับ
Toyota Corolla รุ่นที่ 7 เปิดตัวในปี 1991 และในไทยต้นปีถัดมา เป็นอีกหนึ่งใน Corolla ที่แม้อายุจะเกือบ 30 ปีแล้ว แต่ยังคงมีวิ่งกันแพร่หลายคนเราต้องแอบสงสัยว่า Toyota แอบไปผลิตรถรุ่นใหม่มาเติมอยู่เรื่อย ๆ หรือเปล่า?
Toyota Corolla ที่คนไทยนิยมเรียกกันว่า AE100 หรือ สามห่วง ตามรูปแบบโลโก้ใหม่ของ Toyota ที่เริ่มใช้ในปี 1990 เป็นรถ Corolla ที่แม้จะยังใช้พื้นฐานเหมือนกับ E80 และ E90 สองรุ่นก่อนหน้า แต่ก็มีการปรับปรุงตัวถังให้โค้งมนรับกับยุคสมัย และปรับปรุงช่วงล่างให้นิ่มนวล แต่มั่นคงมากขึ้น
ความเปลี่ยนแปลงสำคัญของ Toyota Corolla รุ่นที่ 7 นี้ คือการที่มันถูกพัฒนาและวางจำหน่ายหลังเหตุการณ์วิกฤติเศรษฐกิจในญี่ปุ่น และทำให้ตัวเลือกของ Toyota Corolla ถูกลดลงให้ต้นทุนการพัฒนาถูกลง ตัวเลือกต่าง ๆ ที่มีเยอะอย่างบ้าบอในอดีตก็ลดลงไปด้วย เครื่องยนต์เหลือเพียงแบบ E แบบ A และแบบดีเซลที่มีจำหน่ายแค่บางประเทศ และอ็อปชั่นต่าง ๆ ที่เคยมี ก็ถูกตัดออกไปพอสมควร
แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายอะไรเลย เพราะนั่นหมายความว่าทรัพยากรในการพัฒนาได้ถูกลงไปกับตัวเลือกที่เหลือ อีกทั้งด้วยพื้นฐานที่ Toyota พัฒนามาเกือบ 10 ปีในตอนนั้น ทำให้ Toyota Corolla AE100 เป็นรถที่มีความทนทานสูงมาก ทนทานเสียจนได้ชื่อว่าเป็นรถที่ถ้าเกิดใครขับให้พังได้ ก็ต้องมีความสามารถสูงพอสมควร
ในประเทศไทยมีเครื่องยนต์ให้เลือกด้วยกัน 2 แบบ 1.3 ลิตร และ 1.6 ลิตร จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดหรือคาร์บูเรเตอร์ และมีตัวถังให้เลือกแบบเดียวคือแบบ 4 ประตูซีดาน แต่เราเคยเห็นรถ Corolla E100 ตัวถังสเตชั่นแวกอนอยู่บ้าง ที่นำเข้ามาใช้เป็นรถเพื่อการพยาบาล ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีมากพอสมควร ในปัจจุบันมีราคาขายต่อที่แพงและคนตามหากันเยอะมากครับ
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการใช้พื้นฐานนี้ สร้างรถ Toyota Marino หรือ Corolla Ceres ขึ้นมา อันเป็น Corolla ที่ลบภาพความน่าเบื่อออกไป แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จอะไรขนาดนั้นเนื่องจากมาในปลายยุคของรถซีดานไร้กรอบนี้ไปแล้ว
Toyota Corolla รุ่นที่ 8 เปิดตัวในปี 1995 และแม้ว่าจะถูกพัฒนาขึ้นมาในยุคญี่ปุ่นฟองสบู่แตก แต่ก็ยังคงใช้พื้นฐานแบบเดิมที่ดีเยี่ยม ไม่ตกยุคอยู่ แต่มีการปรับปรุงให้ทันสมัยขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ตัดตัวเลือกที่ไม่จำเป็นออกไป แล้วพัฒนาจุดด้อยเดิมให้ดีขึ้น
ถึงกระนั้น งบประมาณการพัฒนาที่น้อยลงก็ส่งผลอย่างชัดเจนต่อรถ Corolla รุ่นใหม่นี้ ความอลังการของตัวเลือกต่าง ๆ ในแบบเดิมหายไปเสียหมดสิ้น เงินพัฒนาถูกลงไปกับรถรุ่นอื่น ๆ ที่สำคัญกว่า แพงกว่า จนทำให้ Corolla E110 รุ่นที่ 8 กลายมาเป็นเพียงรถบ้าน ๆ สำหรับผู้ที่อยากเดินทางไปท่ามกลางความนุ่มนวลและสบาย แต่ตัวสปอร์ตหายไปหมด จริงรึเปล่า?
มีใครเคยสังเกตไหมครับ ว่าไม่มีใครจำ Corolla Sprinter Trueno กับ Corolla Levin รุ่น AE101 ได้? ข้ามไปอย่างนั้น? Corolla AE111 รุ่นคูเป้มีหน้าตาที่สวยงามและลงตัวกว่ารุ่นก่อนหน้า อีกทั้งยังมีการใส่เทคโนโลยี Super Strut และเครื่องยนต์ 4A-GE 20V ฝาดำอันเป็นพัฒนาการขั้นสูงสุดของเครื่องยนต์ตระกูล A ระดับตำนานนี้
ในประเทศไทยเอง Corolla AE111 ก็มีตัวเลือกเครื่องยนต์ 3 แบบ ตั้งแต่ 5A-FE 1.5 ลิตร ถึง 4A-FE 1.6 ลิตร และในภายหลังมีการเปิดตัวรุ่น Corolla Altis ตัวเล็ก ในปี 2000 ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 7A-FE 1.8 ลิตรมาเป็นตัวเลือก อันเป็นจุดสูงสุดของพื้นฐานที่มีจุดเริ่มต้นจากรุ่น Corolla E80 เมื่อ 18 ปีก่อนหน้า
Toyota Corolla รุ่นที่ 9 ในประเทศไทยเป็นครั้งแรกที่ชื่อรุ่น Corolla Altis ถูกใช้กันแบบติดหูคนทั่วไป จนถูกเรียกว่า Altis มากกว่าเรียกว่า Corolla
Toyota Corolla E120 นั้น ถูกทำให้เป็นมาตรฐานมากขึ้น มีภายในเพียง 2 แบบ และตัวถังเหลือเพียง 4 แบบเท่านั้น อันประกอบไปด้วย 4 ประตู 3 ประตู Hatchback และสเตชั่นวากอน Fielder แต่ด้วยโลกสมัยใหม่ รสนิยมของตลาดนานาชาติไม่เหมือนกันอีกต่อไป Toyota จึงตัดสินใจพัฒนาตัวถังขึ้นมา 3 แบบที่แตกต่างกันไปสำหรับตลาดเฉพาะบางที่
ในตลาดญี่ปุ่น Toyota Corolla ถูกจำกัดเอาไว้ด้วยกฎหมายทางด้านภาษีซึ่งทำให้ความกว้างต้องไม่เกิน 1,695 มิลลิเมตร แต่ในตลาดข้างนอกนั้นไม่ถูกจำกัดเช่นนี้ จึงมีตัวถังที่ใหญ่และหรูหราขึ้นมาได้ แม้ว่าภายในจะเหมือนกันเป๊ะก็ตาม ในขณะเดียวกัน รถพื้นฐานนี้ยังมีตัวถังแบบ Hatchback ที่ขายในชื่อ Auris อีกด้วย
ความสำคัญของ Toyota Corolla E120 นั้น อยู่ที่การใช้พื้นฐานแบบใหม่หมดจด ไม่ได้วางแบบมาจาก Corolla E80 เดิมอีกต่อไป และเปลี่ยนช่วงล่างหลังเป็นแบบ Torsion Beam
เครื่องยนต์นั้นก็เปลี่ยนมาให้ตระกูล ZZ แทน ซึ่งในประเทศไทยมีตัวเลือกแบบ 3ZZ-FE 1.6 ลิตร กับ 1ZZ-FE 1.8 ลิตรมาให้เลือกกัน ซึ่งเครื่องยนต์ ZZ นี้ มีการปรับมาใช้คอยล์จุดระเบิดแบบแยก ที่ให้ความทนทานมากกว่าจานจ่ายแบบเดิม
ความน่าสนใจของ Corolla รุ่นที่ 9 นี้ คือมันถูกผลิตตั้งแต่ปี 2001 จนถึงปี 2017 ในประเทศจีนได้มีการปรับโฉมและทำตลาดต่อไปเป็นระยะเวลาอีกกว่า 10 ปี และนี่ทำให้อนาคตในด้านอะไหล่ของรถรุ่นนี้ก็ดูสดใส ใช้กันได้ต่อไปยาว ๆ อย่างแน่นอนครับ
Toyota Corolla รุ่นที่ 10 หลังจากผ่านไป 44 ปี Toyota Corolla ได้กลายมาเป็นชื่อติดหูคนทั่วโลกอย่างเรียบร้อย และ Corolla รุ่น E140 นี้ก็ตอบโจทย์ของ Corolla ในทุก ๆ ข้อ ขับขี่ได้อย่างนุ่มนวล ทนทานเชื่อถือได้ ราคาประหยัด และไม่ต้องมีอะไรมากไปกว่าสิ่งที่ทำให้ขับได้
พื้นฐานนั้นมีความใกล้เคียงกับรุ่นที่ 9 แต่ปรับปรุงให้ดีขึ้นในทุกจุด มั่นคงแน่นหนาขึ้น ตัวถังมีขนาดใหญ่ขึ้น และยังคงรูปแบบตัวถังทั้งแคบและกว้างเหมือนกับรุ่นก่อนหน้า โดยใช้พื้นฐานเดียวกัน และใช้เครื่องยนต์ตระกูล ZZ เหมือนเดิมทุกประการ เหมือนกับว่า Toyota ยังคงไม่อยากที่จะเปลี่ยนแปลงอะไรให้ฉีกไปจากเดิมมากนัก
นั่นเป็นเพราะว่า Toyota กำลังซุ่มพัฒนารถ Corolla ในระดับถัดไปอยู่ ท่านทราบไหมละครับว่า Toyota Corolla ที่วางจำหน่ายในออสเตรเลีย ยุโรป และแอฟริกาใต้ แม้ว่าจะมีตัวถังและภายในที่เหมือนกับรถที่จำหน่ายในสหรัฐอเมริกา และเอเชียทุกประการ แต่พื้นฐานของรถนั้นเปลี่ยนไปไม่เหมือนกันแม้แต่นิดเดียว ไม่มีอะไหล่ชิ้นไหนใช้ร่วมกันได้เลย?
ในภายหลัง Toyota ได้เปลี่ยนแปลงโฉมของรถรุ่นนี้ และเปลี่ยนเครื่องยนต์เป็นแบบ ZR รุ่นใหม่ ซึ่งมีความทนทานเชื่อถือได้ และมีประสิทธิภาพดีกว่าเครื่องยนต์ ZZ แบบเดิม จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT เป็นครั้งแรกในไทย
Toyota Corolla รุ่นนี้ เมื่อเผยโฉมและออกมาในครั้งแรก ได้รับข้อวิจารณ์ถึงความน่าเบื่อ แม้ว่าจะเปลี่ยนจากรุ่นที่ 9 อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่ความสนุกนั้นไม่มีอยู่แล้ว ไม่มีรุ่นพิเศษตัวแรงออกมา และเมื่อคู่แข่งมีความน่าสนใจมากกว่า ก็ดูเป็นรถที่หลงยุคไปเสียหน่อย
ทว่า ในเวลาเดียวกัน กลุ่มลูกค้าที่ใช้จริงก็มักจะบอกว่า Toyota Corolla รุ่นนี้เป็นรถที่ทนทานไม่จุกจิกที่สุด และก็เห็นได้บ่อยครั้งที่ Toyota Corolla E140 จะสามารถวิ่งไปได้ถึง 1 ล้านกิโลเมตรโดยไม่เคยเปิดเครื่องเลยด้วยซ้ำ การทำอะไรซ้ำ ๆ แบบเดิม ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด มันก็มีข้อดีเช่นนี้อยู่ละครับ
Toyota เปิดตัวรถ Corolla โฉมที่ 11 ในปี 2014 โดยใช้พื้นฐาน New MC ที่ใช้ในรุ่นก่อนหน้าตัวสเปคออสเตรเลีย ยุโรป และแอฟริกาใต้ มาใช้กับรถสเปคแบบเดียวกันทั่วโลก แน่นอนครับว่าถ้าหากดูจากแค่รูปแบบช่วงล่าง ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันขนาดนั้น แต่พอขับขี่จริงแล้วก็จะจบว่ารถ Corolla E170 นั้นเหนือกว่ารุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด
นอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานให้เหมือนกันทั่วโลกแล้ว ยังมีการปรับปรุงรูปลักษณ์ภายนอก และการตกแต่งภายในให้ดูสปอร์ตและทันสมัยมากขึ้น ไม่เป็นรถหลงยุคอีกต่อไป
จาก Corolla รุ่นที่ 10 ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่ามันซ้ำซาก น่าเบื่อ Corolla รุ่นที่ 11 พยายามสร้างความตื่นเต้นมากขึ้น ในประเทศไทย Corolla Altis มีการเพิ่มรุ่น Altis ESport อันได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมทั้งภายนอก มีชุดแต่งและล้อขอบ 17 สวยงาม และช่วงล่างก็ได้รับการปรับปรุงเช่นกัน
เครื่องยนต์ยังคงเป็นแบบ 1ZR 1.6 ลิตร และ 3ZR 1.8 ลิตร แต่ทั้งสองจับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ CVT ซึ่งเมื่อรวมกับเครื่องยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ก็ทำให้เป็นรถที่มีอัตราเร่งและความประหยัดน้ำมันทัดเทียมกับคู่แข่งโดยไม่ต้องมีเทคโนโลยีอะไรมาก
แต่การเพิ่มแค่รุ่นสปอร์ตขึ้นมาโดยไม่ได้ทำอะไร ก็อาจจะดูพลาดอะไรบางอย่างไป Toyota ทีม TRD ประเทศไทย จึงได้นำรถรุ่นนี้ไปลงแข่งขัน Nurburgring 24 Hours และประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง จนเกิดมาเป็น Toyota Corolla Altis ESport Nurburgring Edition ขึ้นในปี 2016
เมื่อมาถึงจุดนี้ เราก็ต้องพูดถึง Toyota Corolla รุ่นปัจจุบันที่เปิดตัวไปเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมานี้ ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงระดับพลิกโลกอีกครั้งหนึ่ง เนื่องจากมีการใช้พื้นฐาน TNGA และเป็น Corolla รุ่นแรกที่เกิดขึ้นมาจากการกุมบังเหียนของบอส Akio Toyoda ผู้ซึ่งชอบการแข่งรถ จึงเป็น Corolla ที่มีการขับขี่ดีที่สุดนับตั้งแต่เปิดตัวมา
นอกเหนือจากการขับขี่ที่ดีเยี่ยมแล้ว ยังมีการเพิ่มเทคโนโลยีต่าง ๆ รวมไปถึงระบบขับเคลื่อนแบบ Hybrid ที่ทำให้ Toyota Corolla Altis เป็นมากกว่าแค่รถสำหรับคนที่อยากได้รถทน ๆ ไม่คิดอะไรมาก
ถึงกระนั้น ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่ Toyota Corolla รุ่นที่ 13 นี้ ก็เกิดขึ้นมาในยุคสมัยที่กระแสโลกเปลี่ยน คนหันมาให้ความสนใจกับรถยนต์ Crossover กันมากขึ้นเสียจนความนิยมของ Toyota Corolla ที่ถูกพัฒนาให้ดีขึ้นเป็นอย่างมากไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร อีกทั้งภาพลักษณ์ของความเป็นรถคนแก่กับรถแท็กซี่ก็ติดค้างคากันเสียจนคนมองข้ามรถที่ดีมากคันนี้ไป อ่านรีวิวของ Toyota Corolla Altis 2019 ได้ที่นี่ อ่านรีวิวของ Toyota Corolla Cross 2020 ได้ที่นี่
เพื่อเป็นการแก้ปัญหาทั้งหมดนั้น Toyota เปิดตัวรถยนต์ Toyota Corolla Cross (โตโยต้า โคโรล่า ครอส) ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และเป็นครั้งแรกที่ชื่อของ Toyota Corolla ถูกนำไปใช้กับรถ SUV ยกสูง สำหรับรถที่มีประวัติอันยาวนาน ยังต้องยอมเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ไม่เคยเป็นมาก่อนได้
และถ้าหากอนาคต Toyota Corolla ในรูปแบบที่เราคุ้นเคยจะหายไป ก็คงไม่ใช่เรื่องเหนือความคาดหมายแน่นอนครับ ถ้าไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น ก็ขอความกรุณา ซื้อ Corolla Altis กันให้มากกว่าที่เป็นอยู่นี้ด้วย
แต่เราก็อาจจะไม่ต้องบอกเช่นนั้นก็ได้ เพราะ Toyota Corolla ก็มียอดจำหน่ายไปถึง 44 ล้านคันแล้วในปัจจุบัน ขายดีขนาดนี้ ก็บอกว่าไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ได้หรอกมั้งครับ
ในบรรดารถยนต์ที่ขายได้มากที่สุดในประวัติศาสตร์ลำดับรอง ๆ ลงมา เช่น VW Beetle นั้น ส่วนมากนับเพียงตัวถังชื่อเดียว แบบเดียว ขายได้เป็นจำนวนหลักสิบล้านคัน แต่ Toyota Corolla ไม่ได้เป็นเช่นนั้นครับ
ชื่อชั้นของ Toyota Corolla นั้นมีความสำคัญมากเสียจน Toyota ชอบนำเอาไปแปะกับทุกสิ่งอย่าง ตั้งแต่รถ Sub Compact ขนาดเล็กอย่าง Corolla II หรือรถ MPV อย่าง Corolla Verso และอื่น ๆ อีกมากมายที่ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นตัวถังเดียวกับ Toyota Corolla ปกติที่เราคุ้นเคยกัน
ด้วยเหตุนี้เอง การที่เราบอกว่า Toyota Corolla เป็นรถของทุกคนนั้น ไม่ได้หมายความแค่ว่า ทุกคนซื้อ Corolla อยู่แบบเดียวกันมาตลอด แต่หมายถึงรถที่มีชื่อ Corolla นั้นหลากหลายเสียจนยังไงท่านต้องเคยสัมผัสในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งในชีวิตนี้
แต่ Toyota Corolla ก็เป็นบทเรียนให้กับหลายบริษัทได้ครับ ในช่วงเวลาที่ Nissan ขายรถระดับเดียวกันในชื่อ Sunny Sentra กลับไป Sunny จนเปลี่ยนเป็น Tiida แล้วก็กลายมาเป็น Sylphy จนเลิกขายไปนั้น Toyota ขายรถชื่อเดียว Corolla มาตลอดและยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
ในมุมมองของผู้ใช้งาน ความคุ้นเคยเป็นสิ่งที่สำคัญ และถ้าหากชื่อชั้นของรถเป็นชื่อที่ถูกเชื่อมโยงกับสิ่งที่ดี เช่น ความทนทาน ความคุ้มค่า กลุ่มลูกค้าเดิมก็จะเลือกสนใจกันตามความคาดหวังเดิมที่มีอยู่แล้วนั้นเอง
นั่นแหละครับ ประเด็นสำคัญ ชื่อของ Toyota Corolla นั้น เสมอต้น เสมอปลาย พอ ๆ กับความทนทานของตัวรถเองนั่นแหละครับ
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}