ระบบขับเคลื่อนล้อหน้าแพร่หลายในรถรุ่นเล็ก ทำไม BMW ถึงใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

รถขับเคลื่อนล้อหน้าได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มรถยนต์ขนาดเล็ก แต่ยังมีบางค่ายรถอย่าง BMW (บีเอ็มดับเบิลยู) ที่ยังนิยมใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลัง

ถึงแม้ในระยะหลัง BMW จะปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์จากรถขับหลังมาสู่รถขับหน้ามากขึ้น อย่างการแนะนำ BMW 1-Series ในปี 2019 แต่รถเล็กอย่าง 2-Series พวกเขาก็ยังใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังเช่นเดิม

หนึ่งในเหตุผลที่ค่ายรถยักษ์ใหญ่จากบาวาเรียยังคงยึดมั่นในระบบขับหลังก็คือสมรรถนะการขับขี่ที่ยอดเยี่ยม แต่คำถามคือ ในยุคสมัยปัจจุบันที่ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่มีความล้ำสมัยมากขึ้น ระบบขับหลังยังมอบสุนทรียภาพบนท้องถนนได้เหนือกว่าระบบขับหน้าจริงหรือ?

ความสนุกในการขับขี่ที่แท้จริง

จุดอ่อนของระบบขับเคลื่อนล้อหน้าก็คือ ล้อคู่หน้าจะต้องทำหน้าที่สองอย่างไปพร้อมกัน หนึ่งคือการถ่ายกำลังลงพื้นเพื่อขับเคลื่อนตัวรถ และสองคือการเลี้ยวไปตามทิศทางที่ผู้ขับขี่ต้องการ ซึ่งถือเป็นเรื่องยากที่ล้อคู่หน้าจะทำหน้าที่ทั้งสองอย่างได้สมบูรณ์แบบ 100%

หากวิศวกรต้องการถ่ายทอดพละกำลังสู่ล้อคู่หน้าลงพื้น 100% ก็จะไม่สามารถสร้างการยึดเกาะได้อย่างเต็มที่ ในทางกลับกัน หากต้องการสร้างการยึดเกาะเพื่อความแม่นยำในการเลี้ยว พละกำลังก็จะถูกถ่ายทอดไม่เต็มที่

ขณะที่ในรถขับเคลื่อนล้อหลัง พละกำลังสามารถถูกถ่ายลงพื้นสู่ล้อคู่หลังได้อย่างเต็มเหนี่ยว 100% ขณะที่ล้อคู่หน้าก็สามารถสร้างการยึดเกาะพร้อมกับเลี้ยวไปตามการควบคุมอย่างเหนียวแน่นได้ 100% เช่นกัน

ดังนั้น จึงสามารถพูดได้ว่าระบบขับเคลื่อนล้อหลังสามารถใช้การทำงานของล้อคู่หน้าและคู่หลังได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

อีกหนึ่งข้อแตกต่างระหว่างระบบขับเคลื่อนทั้งสองรูปแบบ คือการกระจายน้ำหนักไปยังด้านหน้าและด้านหลังของตัวรถ ตัวเลขในอุดมคติอยู่ที่ 50:50 หรือทำให้หน้า:หลังใกล้เคียงกันมากที่สุด ซึ่งจะให้สมรรถนะการขับขี่ยอดเยี่ยม ทำได้ด้วยการเกลี่ยน้ำหนักที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ห้องเครื่องยนต์ด้านหน้าให้ไปอยู่ที่ด้านท้ายรถอย่างสมดุล

รถขับเคลื่อนล้อหน้าส่วนใหญ่ใช้เครื่องยนต์วางขวาง ปราศจากกลไกเพลาขับหลัง การกระจายน้ำหนักไปที่ด้านท้ายรถจึงไม่ใช่เรื่องง่าย ในขณะเดียวกัน รถขับเคลื่อนล้อหลังจะใช้เครื่องยนต์วางตามยาวและมีเพลาขับหลัง การเกลี่ยน้ำหนักทำได้ไม่ยากนัก

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมรถขับเคลื่อนล้อหลังของ BMW ส่วนใหญ่มีฝากระโปรงหน้าที่ยาว เนื่องจากตำแหน่งการวางเครื่องยนต์มักกินพื้นที่ลึกเข้าไปในค็อกพิท ไม่เพียงช่วยกระจายน้ำหนักได้ดี แต่ยังเพิ่มความสวยงามของรูปลักษณ์ภายนอกอีกด้วย

นอกจากนี้ การกระจายน้ำหนักหน้า:หลังแบบ 50:50 ยังทำให้เกิด Neutral Steer ซึ่งมุมลื่นไถล (slip angle) ระหว่างล้อหน้าและล้อหลังมีความสมดุล เปิดโอกาสให้ทีมวิศวกรสามารถเซ็ทอัพบุคลิกการขับขี่ได้หลากหลายรูปแบบอีกด้วย

การใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังยังทำให้ทีมนักพัฒนาสามารถต่อยอดไปเป็นระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเพื่อเพิ่มทางเลือกในการขับขี่ เห็นได้จากการติดตั้งทั้งสองโหมดการขับขี่อยู่ใน BMW M5 ที่ทำให้เสถียรภาพในการขับขี่เกือบจะเข้าขั้นสมบูรณ์แบบสำหรับรถซีดานที่มีตัวถังค่อนข้างใหญ่