ประวัติ BMW 5-series รวม 7 เจเนเรชั่น เผยจุดเด่นแต่ละยุค ที่ทำให้จักรวาลซีรีย์ 5 โด่งดังมานาน

BMW เริ่มการฉลองครบรอบ 50 ปีของแผนก M Performance ทำให้หลายคนลืมว่ามีตำนานอีกรุ่นคือ BMW 5-Series (บีเอ็มดับเบิ้ลยู ซีรี่ย์ 5) ก็มีอายุครบ 50 ปีในปีนี้เช่นกัน ประวัติ 5-Series เองก็มีส่วนช่วยยี่ห้อรถนี้เปลี่ยนแปลงจากรถระดับพรีเมียมจำนวนน้อย สู่ระดับอุตสาหกรรมขายจำนวนมาก และสืบชื่อเสียงอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ ลองมาดูประวัติของรถซีดานรุ่นกลาง BMW 5-Series ตั้งแต่ปี 1972 ถึงปี 2022 มีด้วยกัน 7 เจเนเรชั่นเรียงจากเก่าสุด จบที่ใหม่สุดในปัจจุบัน

ประวัติ BMW 5-Series E12 (1972-1981)

ก่อนมีซีรี่ย์ 5 ก็มีรถซีดาน BMW Neue Klasse ช่วยบริษัทให้พ้นจากการถูกลืมเลือนในปี 1960 และช่วยเปิดตัวเอกลักษณ์สปอร์ตซีดาน ดังนั้นผู้สืบทอดตำแหน่งจึงต้องคงเอกลักษณ์เดิมไว้ ดังนั้นซีดานขนาดกลาง 5 ซีรีส์ใหม่ BMW E12 เปิดตัวสู่สายตาชาวโลกที่งานแฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ ปี 1972 โดยมีรถแนวคิด 2200ti Garmisch coupe เปิดตัวโชว์ไปแล้วเมื่อสองปีก่อนหน้า

BMW E12 5-Series ที่ออกแบบโดย Paul Bracq เช่นเดียวกับตระกูล Neue Klasse เปิดตัวด้วยเครื่องยนต์สี่สูบ 2.0 ลิตร และเป็นครั้งแรกที่ได้นำเครื่องยนต์ 6 สูบมาสู่ BMW ขนาดกลาง และเป็นพื้นฐานให้ซีดาน M คันแรกแก่ประวัติศาสตร์นั่นคือ M535i ในปี 1980 โดยมีการดัดแปลงรถยนต์ 5-Series ด้วยเครื่องยนต์ที่ใหญ่ขึ้น และดามแชสซีกับจูนช่วงล่างใหม่ ขายแบบไม่เป็นทางการสำหรับลูกค้าเฉพาะกลุ่ม

ประวัติ BMW 5-Series E28 (1981-1988)

ที่จริงแล้ว BMW E28 5-Series เป็นการนำรุ่น E12 มาปรับโฉมใหม่อย่างหนัก แทนที่จะเป็นรถพัฒนาใหม่ทั้งหมด รุ่นนี้ออกแบบโดย Claus Luthe ได้วาดฝากระโปรงหน้าแบบบานพับด้านหลังใหม่ เพิ่มสัดส่วนตัวถังให้หนาขึ้น และเปลี่ยนคอนโซลที่เอียงเข้าหาคนขับมากขึ้น ให้ดูหล่อขึ้น และรู้สึกแตกต่างพอสมควร แม้มีการปรับปรุงหลายจุดเสียจนอะไหล่แทบใช้ร่วมกันไม่ได้เลย แต่คุณสามารถเปลี่ยนประตู 4 บานสลับไปมาระหว่างรุ่น E12 และ E28 ได้เลยโดยไม่ต้องดัดแปลง

นวัตกรรมใหม่ในรุ่นนี้ได้แก่ เบรค ABS, ช่วงล่างด้านหน้าแบบดูอัลลิงค์, คอมพิวเตอร์ทริปดิจิตอล, ระบบตรวจสอบยานพาหนะแสดงผลในคอนโซล

BMW E28 ใช้เครื่องยนต์ 4 และ 6 สูบคล้ายเดิม เพิ่มเติมคือในรุ่นปกติธรรมดานั้น ได้ใช้บล็อก 6 สูบเรียง 3.5 ลิตรที่มีกำลัง 215 แรงม้า เช่นเดียวกับพี่ใหญ่ 7-Series และเพิ่มทางเลือกประหยัดด้วยรุ่น 525e/528e ขนาด 2.7 ลิตรที่มีรอบต่ำช่วงชักยาว และเพิ่มบล็อกดีเซลเทอร์โบ 113 แรงม้า และดีเซลไม่มีเทอร์โบ 84 แรงม้า ที่สำคัญคือเป็นรุ่นแรกที่มีรุ่น M5 ใช้เครื่อง DOHC M88 ของซูเปอร์คาร์ M1 ให้กำลัง 256 แรงม้า นับเป็นต้นกำหนด BMW M5 ตัวแรกที่สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ประวัติ BMW 5-Series E34 (1988-1996)

BMW 5-Series มีการเติบโตขึ้นมากใน E34 ออกแบบโดย Claus Luthe เจ้าเดิม จัดการทิ้งพื้นฐานเก่า พัฒนาโครงสร้างใหม่หมดจรด มีสไตล์ที่เหลี่ยมเฉียบคมที่ยังดูดีในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมียอดขาย BMW E34 โตมากเป็น 2 เท่าจาก E28 นวัตกรรมที่สำคัญในรุ่นนี้คือ ตัวถังแบบแวกอน Touring, ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ, ระบบควบคุมการลื่นไถล, เครื่องยนต์ V8, วาล์วแปรผัน Vanos

จุดเด่นของ BMW E34 อีกอย่างหนึ่งคือ รุ่น 520is และ S5 โดยเป็นการนำเอาบล็อก 2.7 ลิตรของรุ่น 525e ในต่างประเทศ มาผสมกับฝาสูบของรุ่น 2.0 ปรับแต่งกลไกวาล์ว หัวฉีด และพอร์ต โดยอาจารย์ ศิริบูรณ์ เนาว์ถิ่นสุข สร้างพละกำลังจากเดิม 148 ขึ้นไปได้ถึง 190 แรงม้า ซึ่งมีเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น

เครื่องยนต์ BMW E34 เริ่มต้นตั้งแต่ M20 และ M30 แบบ 8 วาล์วรุ่นเก่าที่คุ้นเคยใน E28 แต่ยังมีทางเลือกเครื่องยนต์ใหม่ M50 DOHC 6 สูบเรียงที่คนไทยคุ้นเคยในรุ่น 520i และ 525i และในตลาดต่างประเทศมีรุ่นรุ่น 540i ได้เครื่อง M60 V8 กำลัง 282 แรงม้า จนถึงตัวแรงสุด BMW M5 เครื่องยนต์บล็อก S38 ขนาด 3.5 ลิตร 6 สูบเรียง 311 แรงม้า และขยายความจุเป็น 3.8 ลิตร ทำให้มีกำลัง 335 แรงม้า

ประวัติ BMW 5-Series E39 (1996-2003)

BMW 5-Series E39 เป็นงานออกแบบของ Chris Bangle นำเสนอรูปลักษณ์ที่กว้างกว่า เตี้ยกว่า มีจุดเปลี่ยนทางดีไซน์ที่สำคัญคือ รวมกระจังหน้าไตคู่เข้ากับฝากระโปรงหน้าเป็นครั้งแรก และรวมไฟหน้ากลมคู่เข้ามาอยู่ในกรอบเดียวกันเป็นครั้งแรก นี่คือยุคที่ซีรี่ย์ 5 เน้นความไฮเทคอย่างแท้จริง มีนวัตกรรมที่สำคัญในรุ่นนี้คือ มีถุงลมนิรภัย 6 ใบเป็นครั้งแรก มีระบบกันสะเทือนถุงลมแบบปรับระดับได้เองในรุ่น Touring และมีระบบนำทางด้วยดาวเทียมแล้ว

เครื่องยนต์ของ BMW E39 เปลี่ยนจากบล็อก M50 เหล็กหล่อ ไปใช้บล็อก M52 ทำจากอะลูมิเนียม ส่วนตัวแรง M5 เปลี่ยนไปใช้บล็อค S62 ขนาด 5.0 ลิตร V8 ใหม่ซึ่งให้กำลัง 394 แรงม้า และเป็น BMW M5 ตัวแรกที่สร้างขึ้นบนสายการผลิต 5-Series เป็นหลักใน Dingolfing ไม่ใช่ที่โรงงาน Garching เดิมอีกต่อไป รุ่นนี้ถูกยกย่องให้เป็น M5 ที่ขับดีที่สุด เพราะมีความสมดุลย์ระหว่างความดิบและความไฮเทค

อ่านเพิ่มเติม : ย้อนประวัติ BMW 5-Series สปอร์ตซีดาน ตัวสร้างชื่อ Ultimate Driving Machine

ประวัติ BMW 5-Series E60 (2003-2010)

BMW 5-Series E60 ยังออกแบบโดย Chris Bangle เจ้าเดิม เพิ่มเติมคือรูปทรงที่พลิ้วไหวและโค้งมน พร้อมขยายตัวถังใหญ่โตขึ้นทุกมิติ อันเป็นที่ถกเถียงกันว่าสวยหรือไม่ และไม่ใช่แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น ภายในเป็นที่ถกเถียงกันพอๆ กัน เนื่องจากแดชบอร์ดสไตล์ตังชันหน้าผา ทำให้คอนโซลดูใหญ่โต บางก็ว่าโอ่อ่า บางก็ว่าเทอะทะ

นวัตกรรมที่สำคัญในรุ่นนี้ เริ่มมีหน้าจออินโฟเทนเมนท์แบบฝัง และตัวควบคุม iDrive ใหม่ ระบบบังคับเลี้ยวที่ล้อหลังในความเร็วต่ำ, ไฟหน้าแบบปรับได้, ระบบครูสคอนโทรลแบบแปรผันได้, มีจอแสดงผลบนกระจกหน้า,ระบบแป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddleshift

เทคโนโลยีเทอร์โบทำให้ BMW E60 ลดขนาดเครื่องยนต์ในยุคของ E60 โดยเปลี่ยนจากรุ่นเริ่มต้น 520i ที่มีขนาด 2.2 ลิตร 6 สูบเรียง กลายเป็น 2.0 ลิตร 4 สูบเทอร์โบ ส่วนบล็อคเทอร์โบ 3.0 ลิตร 6 สูบในรุ่น 535i มีกำลัง 302 แรงม้า ส่วนรุ่นแรง M5 ขับเคลื่อนด้วยรหัส S85 บล็อก V10 มีขนาด 5.0 ลิตร กำลัง 500 แรงม้า เป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของบริษัท ก่อนจะถูดลดขนาดความจุเครื่องยนต์ในรุ่นต่อมา

อ่านเพิ่มเติม : เท่ห์เปล่า? เมื่อเจ้าของ BMW 5-Series คันนี้ ติดสคูปดักลมไว้ทั่วคัน เขาคิดอะไรกันนะ

ประวัติ BMW 5-Series F10 (2010-2017)

หลังจากสร้างความโกรธเคืองให้แฟนบิมเมอร์กับรุ่น E60 5-Series ก่อนหน้านี้ไปแล้ว ทางด้าน BMW ก็กลับมาสู่ตัวเลือกที่เสี่ยงน้อยลง ด้วยผู้สืบทอด BMW F10 มีสไตล์การออกแบบในยุค Jacek Froehlich เอาใจผู้ใหญ่ด้วยกระจังไตคู่ที่ตั้งขึ้นมีขอบตรง ไฟหน้าที่มีเส้นหยักน้อยลง ไฟท้ายที่ย้อนกลับไปเป็นตัว L เหมือนสมัยรุ่น BMW E34 มีสันนูนแนวตรงทั่วคัน ให้ความรู้สึกหรูหราขึ้น นอกจากนี้ยังมีตัวถังแบบใหม่ 5GT ท้ายลาด เพิ่มเข้ามาให้เลือกเป็นครั้งแรก

นวัตกรรมที่สำคัญในรุ่นนี้คือ การนำเครื่องยนต์เทอร์โบมาให้มากขึ้น รวมถึงเครื่องดีเซล 3 สูบเทอร์โบใหม่ และการมาถึงของเครื่องยนต์ไฮบริด ActiveHybrid บล็อค N55 3.0 ลิตรผสานมอเตอร์ไฟฟ้าได้กำลังรวม 335 แรงม้า ส่วนรุ่นแรง BMW M5 เปลี่ยนมาใช้เครื่อง S63 เบนซิน V8 เทอร์โบ (แทนที่ V10 หายใจเอง) ได้กำลัง 553 แรงม้า จับคู่เกียร์คลัตช์คู่ที่นุ่มนวลทำให้ขับง่ายขึ้น กับการมีช่วงล่างหน้าแบบปีกนกคู่เป็นครั้งแรก

อ่านเพิ่มเติม : BMW 520d เปิดชุดแต่งใหม่ M Performance Edition มีแค่ 80 ชุด ราคา 80,000 บาท ได้สเปคตามนี้

ประวัติ BMW 5-Series G30 (2017-ปัจจุบัน)

BMW G30 5-Series เปรียบเสมือน F10 แต่เบากว่า ด้วยการลดน้ำหนักลง 100 กก.มีการเปลี่ยนไปใช้แพลตฟอร์ม CLAR ใหม่ใช้อลูมิเนียมสำหรับแผงตัวถังส่วนใหญ่ เปลี่ยนคนออกแบบเป็น Karim Habib หวนคืนกลับสู่การเป็นสปอร์ตซีดาน มีฝากระโปรงต่ำลง ไฟหน้าลีบแบน และเส้นไฟวงแหวนคลี่คลายออกไม่เป็นวงกลมอีกต่อไป ส่วนภายในก็ลบภาพความหนาสไตล์หน้าผาตั้งชันเดิมออกไป 

ความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ BMW G30 คือระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ รวมถึงการจอดรถระยะไกลด้วยสมาร์ทโฟนมีการเปิดตัวตัวเลือก PHEV เป็นครั้งแรกของ 5-Series ส่วนในรุ่นดีเซล M550d ได้เทอร์โบ 4 ตัวเป็นครั้งแรก ในรุ่นแรงสุด G30 M5 ยังใช้เครื่อง S63 เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือกำลังสูงขึ้นเป็น 600 แรงม้า ยกเลิกเกียร์ธรรมดา และเกียร์คลัตช์คู่ หันกลับมาใช้เกียร์อัตโนมัติแบบทอร์คคอนเวิร์ตเตอร์แบบดั้งเดิมทั้งหมด นอกจากนี้ยังมีรุ่นพิเศษ Competition Pack รีดกำลังเป็น 625 แรงม้า และรุ่น M5 CS รีดกำลังได้ 635 แรงม้า สูงสุดเท่าที่ BMW M5 เคยมีมา

ประวัติ BMW 5-Series รวมทั้ง 7 เจเนเรชั่นนี้ แสดงให้เห็นถึงการผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านเทคโนโลยีตามยุคสมัยมามากมาย รวมถึงการลองผิดลองถูก และปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อย ๆ โดยยังไม่สูญเสียการเป็นรถสปอร์นซีดาน รถสไตล์หรู ที่ยังให้การขับสนุกเหมือนที่เคยเป็นตลอด 50 ปีที่ผ่านมา

อ่านเพิ่มเติม : 1st Impression : 2021 BMW 330Li & 5-series จับยัดโค้ง ขยี้คันเร่ง เค้นจุดพีคของรถยุโรปที่แท้จริง