• หลังติดเบาะแน่นอนในทุกโหมดการขับขี่
• ระบบช่วยให้ขับได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม
• ไม่ค่อยชอบจอใหญ่ด้านหลัง แต่เรามีเหตุผล

2022 BMW i7 (บีเอ็มดับเบิลยู ไอ7) รถยนต์นั่งไฟฟ้ารุ่นใหญ่จากค่ายใบพัดฟ้าขาว เปิดตัวเข้าสู่ประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ในฐานะรถยนต์ที่จะถูกนำมาประจำการสำหรับผู้นำประเทศที่จะเข้ามาประชุมเอเปคในเดือนพฤศจิกายน โดยแม้จะเปิดตัวใน 3 รุ่นย่อย แต่รุ่นที่ทำตลาดก่อนก็คือ First Edition เจ้าของค่าตัว 7.599 ล้านบาท ที่เอาเข้ามาใช้ในงานประชุม และน่าจะเริ่มส่งมอบถึงมือลูกค้าได้ในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า สำหรับรถใหม่ป้ายแดง

อย่างไรก็ตาม มิลเลนเนียม ออโต้ ดีลเลอร์มือหนึ่งของแบรนด์ ที่ไม่เคยพลาดการเป็นส่วนร่วมสำหรับงานประชุมเอเปค ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในงานครั้งนี้เช่นกัน และพวกเขาได้จัดแสดงทัพรถยนต์ที่จะเข้าร่วมในงานนี้ทั้งหมด โดยมีไฮไลท์อยู่ที่รถยนต์ไฟฟ้าที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ และได้เปิดโอกาสให้สื่อมวลชนได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด ทั้งการได้ขับระยะสั้น ๆ หรือการลองนั่งเป็นผู้โดยสารระดับวีไอพีอยู่ด้านหลังรถก็ตามที

AutoFun Thailand ได้มีโอกาสสัมผัสประสบการณ์ทั้ง 2 รูปแบบเป็นระยะทางสั้น ๆ รวมกันไม่ถึง 10 กิโลเมตร แต่ก็ถือว่าเป็นการได้เรียนรู้ถึงรถยนต์รุ่นใหม่คันนี้ ที่จะเข้ามาเสริมทัพรถยนต์ไฟฟ้าของบีเอ็มดับเบิลยูให้จับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าได้กว้างขึ้น และแม้จะเป็นรถยนต์นั่งขนาดใหญ่ที่ยาว 5.4 เมตรและหนักถึง 2.7 ตัน แต่ขอบอกเลยว่าในโหมดการขับขี่ธรรมดานั้นก็เหลือเฟือและเพียงพอต่อการใช้งานแบบไม่ต้องเลือกโหมดสปอร์ต

ลองสั้น ๆ ก็คิดว่าชอบแล้ว แต่ก็มีเรื่องที่อยากให้ปรับแก้ไขบางจุดเหมือนกันนะ...

สมรรถนะนั้นเร้าใจแม้จะอยู่ในโหมดใดใดก็ตาม

ด้วยสมรรถนะของมอเตอร์คู่ที่รีดกำลังรวมกันได้ 544 แรงม้า พร้อมแรงบิดสูงสุด 745 นิวตันเมตร และการให้สมรรถนะแบบเต็มพิกัดตั้งแต่รถหยุดนิ่งแบบแฟลตทอร์ค ทำให้รถคันนี้มีการตอบสนองที่ยอดเยี่ยมแม้จะอยู่ในโหมดการขับขี่พื้นฐานก็ตาม อาการหลังติดเบาะนั้นมีมาให้ทันทีที่กดคันเร่งลงไป และดุดันขึ้นไปอีกในโหมดสปอร์ต แถมยังมีพาวเวอร์บูสต์ที่ช่วยรีดกำลังสูงสุดเป็นระยะเวลา 10 นาทีได้อีกด้วย ทั้งหมดนี้ ขับเคลื่อนอย่างมั่นใจด้วยระบบขับเคลื่อนสี่ล้อ ที่มาพร้อมเบรกขนาดใหญ่ที่นิ่งสนิททันทีที่กดแป้นเบรกลงไป ส่วนโหมดอีโคก็มีติดตั้งมาให้ใช้หากเพลิดเพลินจนลืมชาร์จไฟนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม: 2022 BMW i7 ซีดานผู้บริหารหัวใจไฟฟ้า 7.599 ล้านบาท

ขับไม่ยาก แม้รถจะยาวและหนักขึ้นเป็นพิเศษ

ตัวถังของไอ7 นั้น มีความยาวมากถึง 5.4 เมตร และมีน้ำหนักมากถึง 2.7 ตัน ซึ่งเรียกว่าหนักและใหญ่เอาเรื่องจนใครที่ไม่คุ้นชินอาจจะต้องปรับตัวมากหน่อย แต่ข้อดีก็คือ ทัศนวิสัยในการขับขี่ของรถนั้นดีมาก แถมยังมีการติดตั้งล้อด้านหลังที่เลี้ยวตามพวงมาลัยได้ 3.5 องศา เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการขับขี่ ลดรัศมีวงเลี้ยวลงได้อีก 0.8 เมตรหากเทียบกับรถที่ไม่มีระบบนี้ นอกจากนี้ ยังมีระบบหน้าจอแสดงผลการจราจรที่ติดอยู่ที่ตำแหน่งหน้าจอแสดงผลข้อมูล และยังสามารถแสดงผลระบบนำทางต่าง ๆ บนหน้าจอ AR เพื่อเพิ่มความแม่นยำในการขับขี่รถยนต์คันนี้ไปถึงที่หมายนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม: ส่องรุ่นย่อย 2023 BMW i7 ซื้อรุ่นไหนจะคุ้มสุดนะ

แน่นอนว่าคุณต้องเรียนรู้กับระบบของรถ

แม้ตัวรถจะให้หน้าจอขนาดใหญ่ การควบคุมแบบไอไดร์ฟและการใช้งานต่าง ๆ ที่ไม่ได้แตกต่างอะไรมากจากรถหรูหราที่ให้กันมา แต่หากจะใช้งานรถคันนี้ให้เต็มที่ ก็ต้องบอกว่าจะต้องรู้จักกับระบบต่าง ๆ มากมาย เช่น การควบคุมหน้าจอต่าง ๆ จากที่เรารู้อยู่แล้วว่ารถมีหน้าจอขนาดใหญ่ที่ด้านหลังทำเป็นโหมดโรงภาพยนตร์ได้ หรือแม้แต่การขับขี่เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น การใช้ปุ่มเบรคมือไฟฟ้าแทนปุ่ม P เลยก็ดี หรือการปรับเบาะที่นั่งผู้โดยสารตอนหลังด้วยแป้นสัมผัสที่ติดตั้งอยู่ที่ตำแหน่งมือจับของบานประตูหลัง อันนี้ยังไม่รวมระบบอินโฟเทนเมรต์ต่าง ๆ มากมายในรถที่เรียกว่าถ้าซื้อไปแล้วต้องใช้กันให้เป็นทั้งหมด

อ่านเพิ่มเติม: เทียบ 2022 BMW i7 vs Mercedes-EQ EQS ซีดานไฟฟ้าเรือธง

การคิดอุปกรณ์เพื่อการใช้งานจริงสำหรับรถรุ่นใหม่นี้

ด้วยการที่เป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่พัฒนาขึ้นมาเพื่อการใช้งานเป็นหลัก บีเอ็มดับเบิลยูได้ทำการลดจุดด้อยเดิม ๆ ในรถลงไป และทำให้รถสามารถตอบสนองความต้องการในการใช้งานได้อย่างสมบูรณ์แบบมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือแบบไวร์เลสนั้น ได้มีการเจาะช่องเพื่อระบายความร้อนในการชาร์จ พร้อมทั้งติดตั้งที่ชาร์จสำหรับผู้โดยสารตอนหลังเพิ่ม การติดตั้งม่านไฟฟ้าสำหรับผู้โดยสารตอนหลังที่ควบคุมได้จากทุกตำแหน่งที่นั่งในรถ หรือแม้แต่พวกเบาะนวดและปรับอุณหภูมิที่ให้มาก็ใช้งานได้ดีและเต็มประสิทธิภาพ สมกับค่าตัวที่วีไอพีทั้งหลายต้องจ่ายให้กับรถคันนี้จริง ๆ

แต่เอาจริง ๆ เราไม่ชอบหน้าจอใหญ่กลางรถนะ

แม้หน้าจอเธียร์เตอร์ สกรีน ขนาด 31.3 นิ้่ว ความละเอียด 8K จะเป็นจุดขายหลักของรถรุ่นนี้ แต่จากที่ได้สัมผัสและใช้งานจริงแบบคร่าว ๆ มาสองรอบ ส่วนตัวกลับคิดว่ามันเป็นอะไรที่เกะกะรถเอาเรื่อง แถมการเอาไปแปะไว้บนหลังคารถก็บดบังพื้นที่ของพาโนรามิกซันรูฟไปด้วย ซึ่งหากจะติดตั้งสกรีนจริง ๆ ก็อาจจะตัดพาโนรามิกออกไปเพื่อลดต้นทุนก็ไม่ติด อย่างไรก็ตาม หน้าจอนี้สามารถปรับเลื่อนเข้า-ออกจากผู้โดยสารตอนหลังได้ 2 สเต็ป และปรับองศาได้อีก 3 สเต็ป และพับเก็บได้หากไม่ใช้งาน อยากรู้จริง ๆ ว่าคนซื้อไปจะใช้งานกันหรือเปล่า แต่ถ้าเอาไว้ให้ลูกเล็กเด็กแดงดูการ์ตูนระหว่างเดินทางก็น่าจะพอได้มั้ง

ชอบการขับขี่ ออพชั่นดูดีเร้าใจ น่าจะขายดีเอาเรื่อง

ทั้งนี้ทั้งนั้น หากใครต้องการดูรายละเอียดของรถสามารถเข้าไปติดตามที่บทความเดิม ๆ ของเราได้นะ เราทำให้แล้วทั้งข้อมูลรถจากงานเปิดตัว การเปรียบเทียบกับคู่แข่งและการเปรียบเทียบรุ่นย่อย ซึ่งจากการสัมผัสสั้น ๆ บอกเลยว่าประทับใจกับสมรรถนะของรถมากที่สุด และชอบในความง่ายดายในการขับขี่ที่มีระบบช่วยเหลือมากมาย ส่วนออพชั่น กลับคิดว่าหากตัดออพชั่นบางตัวทิ้งแล้วทำราคาสำหรับลูกค้าที่อยากได้รถไฟฟ้าแต่ไม่เน้นของเล่น ก็น่าจะเป็นการเปิดตลาดที่ดี และเชื่อว่ามีหลายคนก็อยากได้รถไปขับ แบบไม่มีเวลาดูจอหลังกันสักเท่าไหร่ เรื่องนี้ฝากให้พิจารณากันต่อไปในอนาคตก็แล้วกันนะครับ

ไว้รอปล่อยให้ทดสอบยาว ๆ ค่อยมาทดสอบระยะทางวิ่งที่เคลมได้มากกว่า 600 กิโลเมตรอีกทีละกัน!!!