• ต้นทุนการผลิตปรับตัวขึ้นสูงจริง
• สรรพสามิตลั่นห้ามปรับราคาตามใจชอบ
• ควรหาทางออกเพื่อให้ตลาดโตได้ต่อเนื่อง

การประกาศว่าจะขึ้นราคาจำหน่ายของ Neta V (เนต้า วี) อีก 5 หมื่นบาท หลังงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 39 สิ้นสุดลง ตามการเปิดเผยของ Hozon (ฮอซอน) นั้น ทำให้เกิดแรงกระเพื่อมในแวดวงการซื้อหารถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่กำลังได้รับการสนับสนุนทางด้านราคาจากภาครับโดยทันที

เมื่อกระทรวงสรรพสามิตในฐานะต้นทางแห่งการอุดหนุนออกมาประกาศขวางทันทีว่า ค่ายรถที่ได้รับการอุดหนุนไปแล้วห้ามขึ้นราคาจำหน่ายรถยนต์ เนื่องจากเป็นราคาที่ได้รับการรับรองและอนุมัติไปแล้ว จึงไม่สามารถที่จะทำการปรับราคาจำหน่ายได้ ต้องเป็นไปตามที่ได้รับอนุมัติทั้งหมด

แน่นอนว่ายังไม่มีข้อสรุปเกี่ยวกับปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นว่าจะทำอย่างไรกันต่อไป แต่แน่นอนว่าการประกาศขึ้นราคานั้นไม่ได้เป็นเรื่องที่ผิดปกติ เพราะต้องไม่ลืมว่าต้นทุนในการผลิตรถยนต์นั้นขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในประเทศจีนที่มีปัญหาที่หลากหลายที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมยานยนต์พลังงานไฟฟ้า

AutoFun พาไปดูปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนกันยิ่งขึ้น...

ขาดชิ้นส่วน-ล็อกดาวน์-ราคาแบต ดันต้นทุนผลิตพุ่งสูง

ถ้าถามว่าปัญหาเรื่องของต้นทุนการผลิตนั้นขึ้นจริงหรือไม่ สรรพสามิตเองก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าปัญหานี้เป็นเรื่องจริง เพราะไม่ว่าจะผลกระทบจากการขาดแคลนชิ้นส่วนเพื่อการผลิต โดยเฉพาะเซมิคอนดัคเตอร์ ต้นทุนของวัตถุดิบสำหรับการผลิตแบตเตอรี่ที่พุ่งขึ้นสูง รวมไปถึงการล็อกดาวน์จากปัญหาโควิด-19 ในหลายพื้นที่ของประเทศจีน ส่งผลให้เกิดปัญหาต่าง ๆ ตามมามากมาย มีการเปิดเผยว่าต้นทุนการผลิตอีวีนั้นเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับรถยนต์สันดาปภายใน เพราะฉะนั้นหากผู้ผลิตต้องการปรับราคาจำหน่ายก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้

อ่านเพิ่มเติม: เผยต้นทุนวัตถุดิบผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถีบตัว แพงกว่ารถเครื่องยนต์สันดาป 3 เท่า!

แล้วทำไมสรรพสามิตถึงบอกว่าปรับขึ้นไม่ได้

อันที่จริงสิ่งที่สรรพสามิตคันค้านมาก็ไม่ได้เป็นเรื่องผิด เพราะโครงสร้างราคาจำหน่ายที่ค่ายรถแต่ละรายประกาศอยู่ในประเทศไทยนั้น เป็นผลมาจากการปรับลดภาษีนำเข้า ภาษีสรรพสามิตและเงินอุดหนุนอีกต่างหาก เมื่อเป็นโครงสร้างที่มีความซับซ้อนและเกี่ยวข้องกับภาษี ทำให้ค่ายรถเองจำเป็นที่จะต้องแจ้งหรือขออนุญาตก่อนปรับอยู่แล้ว เพื่อให้มีความชัดเจนในตัวเลขที่ต้องอธิบายได้ในเชิงของสรรพสามิตเอง และอย่าลืมว่า หากค่ายรถสามารถประกาศปรับราคาจำหน่ายได้เองทั้งหมด ต่อไปทุกค่ายที่ได้รับการอุดหนุนก็คงประกาศปรับราคาตามกันมาทั้งหมด

อ่านเพิ่มเติม: Neta V ประกาศขึ้นราคาเป็น 599,000 แต่สรรพสามิตสวนกลับ ขึ้นราคาขายไม่ได้ เพราะผิด MOU

นอกจากฮอซอนแล้ว คนอื่นเป็นอย่างไรกันบ้าง

สำหรับผู้ประกอบการรายอื่น ๆ ที่เปิดตัวรถไปก่อนหน้านี้ บางส่วนยังไม่มีรถส่งมอบและเพิ่งกลับมารับจองรถกันใหม่ ด้วยราคาจำหน่ายเดิม แต่ก็มีรายงานว่าผู้ประกอบการบางรายได้ติดต่อสรรพสามิตเพื่อคุยเรื่องการขอปรับราคาให้สะท้อนต้นทุนที่ปรับตัวขึ้นมาแล้ว แต่สรรพสามิตนั้นยังเงียบอยู่ ซึ่งรถยนต์รุ่นใหม่ ๆ ที่เปิดตัวในช่วงไตรมาสสุดท้าย อาจจะได้รับผลกระทบน้อยกว่า เพราะได้คำนวนในส่วนของต้นทุนไว้แล้ว ขณะที่ผู้ประกอบการบางราย เลือกใช้วิธีเปิดตัวโมเดลย่อยใหม่ เพื่อเป็นทางเลือกให้ลูกค้า แต่ก็ยังต้องขออนุมัติด้านราคาจำหน่ายเช่นกัน ทำให้ต้องประกาศรับจองแบบยังไม่ประกาศราคานั่นเอง

ค่ายรถที่ไม่อยู่ในข่าย ตบเท้าปรับราคากันถ้วนหน้า

สำหรับค่ายรถยนต์ที่ไม่ได้อยู่ในการอุดหนุนของภาครัฐและมีรถยนต์ไฟฟ้าจำหน่าย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรถยนต์จากทางยุโรปนั้น ได้มีการประกาศปรับราคาจำหน่ายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และส่วนใหญ่ก็จะเริ่มกันในช่วงต้นปี 2566 เพื่อให้ได้ราคาที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นจริง ๆ ซึ่งมีการยืนยันจากผู้บริหารหลายค่ายรถออกมาแล้วว่า แนวโน้มที่ต้นทุนการผลิตของรถยนต์ โดยเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าจะปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในปี 2566 ยังมีอยู่แน่นอน ซึ่งก็จะส่งผลกระทบไปถึงราคาจำหน่าย ที่อาจจะต้องมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นเป็นระยะเช่นเดียวกัน

อ่านเพิ่มเติม: อยากได้ให้รีบซื้อ!!! Audi เตรียมปรับราคารถปี 2566 ขึ้นตั้งแต่ 5 หมื่นยันครึ่งล้าน

สรรพสามิตและค่ายรถต้องจับมือหาทางออกให้ได้โดยเร็ว

ถ้าถามโดยส่วนตัวแล้ว มองว่าการที่ค่ายรถจะต้องปรับราคารถให้สอดคล้องกับต้นทุนก็เป็นเรื่องที่เหมาะสม และสรรพสามิตเองก็ต้องคุยกับค่ายรถเพื่อหาทางออกและหาแนวทางในการดูแลเรื่องการปรับราคาให้ชัดเจน ว่าอะไรที่ค่ายรถทำได้หรือไม่ได้ เพราะการประกาศห้ามขึ้นราคานั้น ดูเป็นเนวทางที่ไม่เหมาะสมสักเท่าไร ท่ามกลางภาวะปัญหามากมายที่ทุกคนต่างก็รับรู้กันดี ซึ่งอย่าลืมว่า การที่รัฐบาลอยากเห็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าบูมในประเทศไทยนั้น หนึ่งในเงื่อนไขก็คือผู้ประกอบการเองก็ต้องมีความพร้อมในการทำตลาดด้วยเช่นกัน หากต้องแบกรับต้นทุนจนไม่สามารถไปต่อได้ แน่นอนว่าตอนจบก็คงไม่มีใครอยากไปต่อกับโครงการนี้

รู้ว่าค่ายรถปรับราคาตามใจไม่ได้ แต่จะดื้อบอกว่าปรับไม่ได้เลย อันนี้ก็ไม่น่าเหมาะเหมือนกันนะ...