โควิด-19 พ่นพิษ! Toyota - Isuzu ระงับการผลิตในไทย กระทบรถรุ่นไหนบ้างมาชมกัน

อุตสาหกรรมยานยนต์ได้รับผลกระทบอีกครั้งจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จนล่าสุดมีรายงานว่า Toyota (โตโยต้า) และ Isuzu (อีซูซุ) ต้องระงับสายการผลิตชั่วคราว

ก่อนหน้านี้ในช่วงการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์ใหม่ระลอกแรกในไตรมาสที่ 2 ของปีที่แล้ว บริษัทรถยนต์เกือบทุกรายต้องหยุดสายการผลิตเป็นเวลาหลายสัปดาห์เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดในกลุ่มพนักงาน ล่าสุดมีรายงานว่ามาตรการดังกล่าวถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง

Toyota ออกแถลงการณ์ซึ่งรายงานโดยสำนักข่าว Reuters ว่า มาตรการระงับการผลิตถูกนำมาใช้ตั้งแต่ต้นสัปดาห์นี้ที่ผ่านมา และกำลังพิจารณาว่าจะกลับมาเดินสายการผลิตอีกครั้งในสัปดาห์หน้าได้หรือไม่ 

ระงับสายการผลิตกระทบรถรุ่นใดบ้าง

ปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนอิเลคโทรนิคหรือชิปส์เซมิคอนดักเตอร์ที่ทำให้โรงงานผลิตรถยนต์ทั่วโลกต้องชะลอกำลังการผลิตไม่ได้ส่งผลต่อบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในเมืองไทยมากนัก แต่สาเหตุสำคัญที่ทำให้ Toyota และ Isuzu ต้องระงับการผลิตชั่วคราวเป็นเพราะบริษัทซัพพลายเออร์ไม่สามารถส่งมอบชิ้นส่วนได้ตามกำหนด

รายงานข่าวระบุว่าบริษัทผู้ผลิตสายไฟรายหนึ่งของ Toyota ในจังหวัดฉะเชิงเทราพบผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องปิดโรงงานเป็นเวลา 14 วัน เพื่อยับยั้งการเกิดคลัสเตอร์ใหม่ จึงไม่สามารถส่งมอบชิ้นส่วนได้ตรงตามกำหนด

มีรายงานว่าการหยุดผลิตของโรงงานทั้ง 3 แห่งของ Toyota ทั้งที่สำโรง บ้านโพธิ์ และเกตเวย์อาจส่งผลถึงการส่งมอบรถยนต์นั่งเกือบทุกรุ่นให้แก่ลูกค้า ได้แก่ Camry (โตโยต้า คัมรี่) Yaris ATIV (โตโยต้า ยาริส เอทีฟ) Yaris (โตโยต้า ยาริส) Vios (โตโยต้า วิออส) Corolla Altis (โตโยต้า โคโรลล่า อัลติส) Corolla Cross (โตโยต้า โคโรลล่า ครอส) และ C-HR (โตโยต้า ซี-เอชอาร์)

ขณะที่รถกระบะอย่าง Hilux Revo (โตโยต้า ไฮลักซ์ รีโว่) และรถพีพีวีเจ้าตลาด Fortuner (โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์) ก็อาจได้รับผลกระทบด้วยเช่นกัน

ขณะเดียวกัน โรงงานของ Toyota ในจังหวัดไอจิ ประเทศญี่ปุ่นก็จะหยุดสายการผลิตระหว่างวันที่ 29-30 กรกฎาคม รวมถึง 2-4 สิงหาคมเนื่องจากขาดแคลนชิ้นส่วน

เว็บไซต์ Autoindustriya จากฟิลิปปินส์รายงานว่ายังไม่มีข้อมูลที่ชัดเจนจาก Isuzu ว่าจะหยุดผลิตนานเพียงใดและจะเริ่มกลับมาผลิตอีกครั้งเมื่อไร แต่บริษัทรถยนต์มักใช้ซัพพลายเออร์เดียวกันจึงอาจทำให้ต้องหยุดการผลิตด้วยเช่นกัน ซึ่งนั่นหมายถึงการส่งมอบ Isuzu D-Max (อีซูซุ ดีแม็กซ์) และ Isuzu MU-X (อีซูซุ มิวเอ็กซ์) อาจได้รับผลกระทบ

ทั้งนี้ บริษัทรถยนต์ญี่ปุ่นหลายรายมักประยุกต์ใช้หลักการผลิต JIT หรือ just-in-time ชิ้นส่วนที่ถูกส่งมอบถึงโรงงานผลิตรถยนต์นั้นจะถูกประกอบเข้ากับตัวรถทันที ข้อดีของหลักการ JIT คือช่วยลดต้นทุนและลดภาระที่เกิดจากการสต็อกชิ้นส่วน แต่ข้อเสียก็คือชิ้นส่วนจะต้องมาตรงเวลา หากคลาดเคลื่อนหรือล่าช้าก็จะทำให้ต้องระงับสายการผลิตเพื่อรอชิ้นส่วนนั้น ๆ ซึ่งในบางกรณีอาจส่งผลสะเทือนไปทั้งซัพพลายเชน