สื่อมวลชนสายยานยนต์ในอิตาลี ได้มีโอกาสรวบรวมรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหมที่มีขายในยุโรป นำมาขับทดสอบในสภาพการจราจรของจริง เพื่อหาคำตอบว่าระยะทางที่ไฟฟ้าขับได้นี้ มันตรงกับในสเปคหรือไม่
หลักการทดสอบทำได้ง่าย ๆ เพียงแค่นำรถที่มีแบตเตอรี่เต็ม ขับเป็นขบวนไปพร้อมกัน อยู่ในเส้นทางเดียวกัน สภาพการจราจรเดียวกัน โดยรายชื่อรถทั้ง 10 คันมีดังนี้
Aiways U5
BMW i7
Kia Niro EV
Mercedes EQE
MG 4
Polestar 2
Renault Megane E-Tech
Skoda Enyaq Coupe
Smart #1
Volkswagen ID.Buzz
การขับขี่บนทางเรียบแบบทางหลวงวงแหวนรอบเมืองที่มีระยะทาง 68.2 กม. ในสภาพการจราจรที่ผสมผสานตั้งแต่ติดขัดชะลอตัว จนไปถึงทรงโล่งตรงยาว โดยถูกจำกัดความเร็วไม่เกิน 110-130 กม./ชม.ในแต่ละช่วงถนน โดยมีการจับความเร็วผ่านเครื่องวัดจากดาวเทียมเป็นตัวกลาง เพื่อให้ได้ระยะทางและความเร็วอย่างแม่นยำเท่ากันทุกคัน
เงื่อนไขของพฤติกรรมการขับขี่จะพยายามควบคุมให้เท่ากันมากที่สุด รถแต่ละคันมีผู้ขับเพียงคนเดียว แอร์ก็ต้องเปิดให้ได้อุณหภูมิ 22 องศาไว้ตลอดเวลา ปิดหน้าต่างเพื่อความลู่ลม และตั้งค่าโหมดการขับขี่ไว้ที่ปกติ หรือของเดิมจากโรงงาน เริ่มขับขี่เวลา 11 โมง วนรอบเมืองไปเรื่อย ๆ จนกว่าแบตเตอรี่จะเหลือ 5% ซึ่งรถบางคันอาจจะวิ่งวนได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องออกจากขบวนทดสอบไปเติมพลังไฟฟ้าแล้ว
การวัดผลโดยนำระยะทางจากในสเปครถแบบ WLTP มาเทียบกับระยะทางที่วิ่งได้จริง ผลการทดสอบพบว่า รถที่สามารถวิ่งได้ไกลสุดคือ BMW i7 ที่วิ่งได้ 436 กม. ได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน WTLP ลงไป 27% ซึ่งรถทุกคันที่นำมาทดสอบนี้ มีระยะทางที่วัดได้จริงน้อยกว่าสเปคหมด เพราะว่าการทดสอบแบบ WLTP นั้นบังคับให้รถรีดพลังแบตจนถึง 0% หมดเกลี้ยงจริง ๆ ไม่เหลือไว้ 5% แบบนี้ อย่างไรก็ตาม เราก็สามารถเปรียบเทียบได้ว่า รถรุ่นใดที่มีระยะทางจริงใกล้เคียงกับในสเปคมากที่สุด ซึ่งสรุปเอาไว้ดังนี้
ชื่อรุ่น | ระยะทาง (100%-5%) | ระยะทางในสเปค WLTP | ระยะทางส่วนต่าง | ความจุแบตที่แท้จริง |
BMW i7 | 436 km | 625 km | -27% | 101.7 kWh |
Mercedes EQE | 423 km | 639 km | -30% | 90.6 kWh |
Polestar 2 | 395 km | 551 km | -24% | 75 kWh |
Skoda Enyaq Coupé RS | 368 km | 505 km | -23% | 77 kWh |
MG 4 | 357 km | 450 km | -16% | 61.7 kWh |
Kia Niro EV | 347 km | 463 km | -21% | 64.8 kWh |
Smart #1 | 328 km | 440 km | -22% | 64 kWh |
Volkswagen ID.Buzz | 300 km | 423 km | -25% | 77 kWh |
Renault Megane E-Tech | 295 km | 450 km | -31% | 55 kWh |
Aiways U5 | 289 km | 410 km | -26% | 60 kWh |
หลังจากการชาร์จไฟแล้ว ทุกคันก็นำปริมาณไฟฟ้าที่ชาร์จกลับเข้ามาจนเต็ม คำนวนโดยจับหารด้วยระยะทาง ออกมาเป็นอัตราสิ้นเปลือง ซึ่งพบว่าแต่ละคันมีอัตราการใช้ปริมาณไฟฟ้าใกล้เคียงกันมาก แต่มีความสามารถในการแบกน้ำหนักตัวและรีดแรงม้าออกมาได้ไม่เท่ากัน ตามสเปคสมรรถนะดังต่อไปนี้
ชื่อรุ่น | อัตราการใช้ไฟฟ้า | กำลัง | Weight |
MG 4 | 16.4 kWh/100 km | 201 HP | 1,685 kg |
Renault Megane E-Tech | 17.7 kWh/100 km | 215 HP | 1,636 kg |
Kia Niro EV | 17.8 kWh/100 km | 201 HP | 1,682 kg |
Polestar 2 | 18 kWh/100 km | 228 HP | 1,994 kg |
Smart #1 | 18.5 kWh/100 km | 268 HP | 1,788 kg |
Aiways U5 | 19.7 kWh/100 km | 201 HP | 1,770 kg |
Skoda Enyaq Coupé RS | 19.9 kWh/100 km | 295 HP | 2,178 kg |
Mercedes EQE | 20.4 kWh/100 km | 288 HP | 2,310 kg |
BMW i7 | 22.2 kWh/100 km | 536 HP | 2,640 kg |
Volkswagen ID.Buzz | 24.4 kWh/100 km | 201 HP | 2,402 kg |
แน่นอนว่ารถทั้ง 10 รุ่นนี้ไม่สามารถเทียบกันได้ เพราะมันคนละประเภทตัวถัง คนละพลังแรงม้า จุดประสงค์ของรถต่างกัน แต่นี่เป็นข้อมูลที่ดีให้เรารู้ว่า การใช้งานในสภาพแวดล้อมจริง ที่ชาร์จเต็มแล้วขับใช้งานแบบไม่ได้ใช้แบตจนหมดเกลี้ยง จะสามารถทำให้รถวิ่งไปได้ไกลน้อยกว่าที่ระบุไว้ในสเปคแค่ไหน ทำให้เราต้องวางแผนหาที่ชาร์จในระยะทางที่ขับได้จริง ป้องกันรถแบตหมดกลางทาง
อ่านเพิ่มเติม : สื่อนอกบ่นผิดหวังหลังทดสอบ 2023 Toyota bZ4X ขับได้แค่ 215 กม.
ตรวจสภาพรถ 175 จุด
รับประกันคืนเงินภายใน 30 วัน
การรับประกัน 1 ปี
ราคาคงที่ ไม่มีค่าธรรมเนียมแอบแฝง
{{variantName}}
{{carMileage}} กม.
{{registrationYear}} ปี
{{storeCity}}